กระดูกพรุน: ภัยเงียบที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
กระดูกพรุน คือ ภาวะที่ มวลกระดูกมีความหนาแน่นลดต่ำลง ทำให้กระดูกบางและเปราะ แตกหักได้ง่าย เปรียบเสมือนกิ่งไม้แห้งที่หักง่ายกว่ากิ่งไม้สด โรคนี้มักไม่แสดงอาการในระยะแรก จึงถูกเรียกว่าเป็น “ภัยเงียบ” ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าเป็น จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุเช่นหกล้มแล้วกระดูกหัก
กระบวนการเกิดโรค:
- โดยปกติ กระดูกจะมีการสร้างและสลายตัวตลอดเวลา
- เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 40 ปี กระดูกจะสลายมากกว่าสร้าง ทำให้มวลกระดูกบางลงตามธรรมชาติ
- หากมวลกระดูกบางลงมาก ก็จะกลายเป็นภาวะกระดูกพรุน
สาเหตุ:
- ปฐมภูมิ: เกิดจากความเสื่อมตามธรรมชาติของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
- ทุติยภูมิ: เกิดจากโรคหรือปัจจัยอื่นๆ เช่น
○ความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนไทรอยด์ พาราไทรอยด์
○การใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน
○โรครูมาตอยด์
○โรคเลือดบางชนิด
○โรคมะเร็งบางชนิด
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้:
- การสูบบุหรี่
- การดื่มสุรา
- การดื่มกาแฟมากเกินไป (เกิน 2 แก้วต่อวัน)
- การใช้ชีวิตแบบ “เหนื่อยนิ่ง” เช่น นั่งหรือนอนดูทีวีเป็นเวลานาน
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและควรเข้ารับการตรวจ:
- ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป (ผู้ชาย 70 ปีขึ้นไป)
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะผู้ที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี หรือผ่าตัดรังไข่ออก
- ผู้ที่มีประวัติกระดูกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกสะโพกหัก
- ผู้ที่ทานยาบางชนิดเป็นระยะเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน
กลุ่มเสี่ยงโรคกระดูกพรุน: ใครบ้างที่ต้องระวัง?
โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยงที่ควรให้ความสำคัญกับการตรวจและป้องกัน
กลุ่มเสี่ยงหลักๆ ที่ควรเข้ารับการตรวจมวลกระดูก:
- ผู้สูงอายุ: โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปและผู้ชายที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูงขึ้น เนื่องจากกระบวนการสลายกระดูกจะมากกว่าการสร้างกระดูกเมื่ออายุมากขึ้น
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน: โดยเฉพาะผู้ที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี หรือผ่าตัดรังไข่ออก เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของการสร้างและสลายกระดูก
- ผู้ที่มีประวัติกระดูกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง: การที่กระดูกหักง่ายจากอุบัติเหตุเล็กน้อย อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแรงของกระดูกที่ลดลง
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกสะโพกหัก: ปัจจัยทางพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน
- ผู้ที่ทานยาบางชนิดเป็นระยะเวลานาน: เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงต่อมวลกระดูก
- ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง: เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุราเป็นประจำ ดื่มกาแฟมากเกินไป (เกิน 2 แก้วต่อวัน) พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมรวมถึงมวลกระดูก
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิด: เช่น โรครูมาตอยด์ โรคต่อมไร้ท่อผิดปกติ (ไทรอยด์ พาราไทรอยด์) โรคเลือดบางชนิด โรคมะเร็งบางชนิด โรคเหล่านี้ส่งผลต่อกระบวนการสร้างและสลายกระดูก
นอกจากกลุ่มเสี่ยงหลักๆ ผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะกระดูกพรุน สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการตรวจมวลกระดูกได้
การตรวจมวลกระดูก:
- แนะนำให้ตรวจด้วยเครื่อง Dexa ซึ่งเป็นมาตรฐานที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุน
- การตรวจด้วยเครื่องมืออื่นๆ เช่น การตรวจบริเวณส้นเท้า เป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น
การป้องกันโรคกระดูกพรุน: เริ่มต้นดูแลสุขภาพกระดูกตั้งแต่วันนี้
โรคกระดูกพรุนสามารถป้องกันได้ หากเราใส่ใจดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วัยเด็กและวัยรุ่น แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนมีดังนี้:
-
โภชนาการ:
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม เช่น
○ปลาเล็กปลาน้อย: เป็นแหล่งของแคลเซียม วิตามินดี และโปรตีน
○ผักใบเขียวเข้ม: เช่น คะน้า ผักโขม บรอกโคลี
○งาดำ: อุดมไปด้วยแคลเซียม
○นม: เป็นแหล่งของแคลเซียมที่ดี
- รับประทานอาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดี: โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหากับการเคี้ยวอาหาร หรือผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
○ปริมาณที่แนะนำ: แคลเซียม 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และวิตามินดี 600-800 IU ต่อวัน
- ลดการบริโภค:
○เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ส่งผลเสียต่อการดูดซึมแคลเซียม
○บุหรี่: สารนิโคตินในบุหรี่มีผลต่อการสร้างกระดูก
○กาแฟ: การดื่มกาแฟมากเกินไป (เกิน 2 แก้วต่อวัน) อาจส่งผลต่อการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย
-
การออกกำลังกาย:
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
○การออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก: เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ กระโดดเชือก ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก
○การออกกำลังกายเพื่อฝึกการทรงตัว: เช่น โยคะ ไทเก๊ก รำกระบี่กระบอง รำไท้เก๊ก เต้นลีลาศ ช่วยป้องกันการหกล้ม
- ระยะเวลา: แนะนำให้เดินอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ทุกวันใน 1 สัปดาห์
- ข้อควรระวัง: ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหมหรือมีแรงกระแทกสูง
-
การจัดสิ่งแวดล้อมในบ้าน:
- จัดบ้านให้สะอาด เป็นระเบียบ เรียบร้อย เพื่อป้องกันการหกล้ม
- มีแสงสว่างเพียงพอ โดยเฉพาะบริเวณทางเดิน บันได และห้องน้ำ
- ห้องน้ำควรแยกส่วนเปียกและส่วนแห้ง
- ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ เพื่อช่วยในการพยุงตัว
- หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ที่อาจทำให้สะดุดล้มได้
- ตรวจเช็คสายตาและการได้ยิน เป็นประจำ
-
การตรวจสุขภาพ:
- ตรวจมวลกระดูก: โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน เช่น
○ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป
○ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะผู้ที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี หรือผ่าตัดรังไข่ออก
○ผู้ที่มีประวัติกระดูกหักจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
○ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกสะโพกหัก
○ผู้ที่ทานยาบางชนิดเป็นระยะเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์
- ปรึกษาแพทย์: เพื่อประเมินความเสี่ยงและรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพกระดูก
การป้องกันโรคกระดูกพรุนเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ การดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้เรามีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรงและห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนในอนาคต
ตำแหน่งที่พบบ่อย:
- กระดูกสันหลังส่วนเอว
- กระดูกสะโพก
- ข้อมือ
- กระดูกต้นแขน
การวินิจฉัย:
- การตรวจวัดมวลกระดูกด้วยเครื่อง Dexa เป็นมาตรฐานที่แพทย์แนะนำ
- การตรวจร่างกาย เพื่อประเมินความเสี่ยงและอาการ
- การซักประวัติ เกี่ยวกับโรคประจำตัว พฤติกรรม และประวัติคนในครอบครัว
การรักษาโรคกระดูกพรุน: ยับยั้งการสลาย เพิ่มการสร้าง และป้องกันภาวะแทรกซ้อน
การรักษาโรคกระดูกพรุน มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมวลกระดูก ลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหัก และป้องกันภาวะแทรกซ้อน สามารถแบ่งการรักษาออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ดังนี้
- การรักษาแบบไม่ใช้ยา:
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทุกคน ประกอบด้วย
○การรับประทานอาหาร: เน้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียวเข้ม งาดำ และนม
○การออกกำลังกาย: ควรออกกำลังกายแบบลงน้ำหนักอย่างเหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ กระโดดเชือก
○การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และดื่มกาแฟมากเกินไป
- การจัดสิ่งแวดล้อม: เพื่อป้องกันการหกล้มในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน
○จัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย: มีแสงสว่างเพียงพอ
○ห้องน้ำควรแยกส่วนเปียกและส่วนแห้ง: ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ
○ไม่ควรมีธรณีประตู: เพื่อป้องกันการสะดุดล้ม
○ตรวจเช็คสายตาและการได้ยิน: เป็นประจำ12
- การรักษาด้วยยา:
- ยาต้านกระดูกพรุน: แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ
○ยาที่ยับยั้งการสลายกระดูก (Anti-resorptive drug): ช่วยชะลอการสลายของมวลกระดูก มีทั้งแบบรับประทาน (สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง) และแบบฉีด (ทุก 3 เดือน 6 เดือน หรือปีละครั้ง)
○ยากระตุ้นการสร้างกระดูก: ช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกใหม่ มีทั้งแบบฉีดทุกวัน และแบบฉีดทุกเดือน
- การเลือกใช้ยา: แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกชนิดของยา วิธีการใช้ และระยะเวลาในการรักษา ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงความรุนแรงของโรค โรคประจำตัว และปัจจัยอื่นๆประกอบ
- ผลข้างเคียง: ยาต้านกระดูกพรุนบางชนิด อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาพาราเซตามอล
○ผลข้างเคียงระยะยาว: ของยาที่ยับยั้งการสลายกระดูก คือ
■กระดูกต้นขาหักนอกแบบ: เกิดจากกระดูกมีความแข็งแรงขึ้น แต่เปราะ
■โรคกระดูกขากรรไกรตาย: แนะนำให้ตรวจสุขภาพฟัน ก่อนเริ่มใช้ยา
○ยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูก: ไม่พบผลข้างเคียงในเรื่องกระดูกต้นขาหักนอกแบบ และโรคกระดูกขากรรไกรตาย
- ระยะเวลาในการรักษา: โดยทั่วไป ยาต้านกระดูกพรุนต้องใช้ระยะเวลานานประมาณ 5 ปี แพทย์จะติดตามผลการรักษาด้วยการตรวจมวลกระดูกทุก 2 ปี เพื่อประเมินประสิทธิภาพของยา และพิจารณาปรับเปลี่ยนยา หรือหยุดยา เมื่อมวลกระดูกกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
○การทานยาเกินความจำเป็น: อาจเสี่ยงต่อภาวะกระดูกต้นขาหักนอกแบบ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ยา: เช่น ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม
การรักษาโรคกระดูกพรุน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานยา และการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน
การทำกายภาพบำบัดในผู้ป่วยกระดูกพรุน
กายภาพบำบัดจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้การทรงตัวดีขึ้น ลดโอกาสที่จะเกิดการพลัดตกหกล้ม ทั้งยังมวลกระดูกไม่เสื่อมสลายเร็ว ทั้งนี้นักกายภาพบำบัดจะทำการประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่ละมัด เพื่อออกแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล นอกจากนี้การออกกำลังกายในน้ำหรือทำธาราบำบัด สามารถช่วยลดแรงกระแทกระหว่างการออกกำลังในผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนที่มีอาการปวดได้อีกด้วย
ผู้สูงอายุกับความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง เนื่องจากกระบวนการเสื่อมของร่างกายตามธรรมชาติ1 เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้การสลายกระดูกเกิดขึ้นเร็วกว่าการสร้าง
จากแหล่งข้อมูลพบว่า ผู้สูงอายุมักจะไม่รู้ตัวว่าตนเองมีภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุน เนื่องจากโรคนี้มักไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม หรือสะดุด ซึ่งจะทำให้กระดูกหักได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
คำแนะนำสำหรับผู้สูงอายุ:
- ตรวจสุขภาพประจำปี: รวมถึงการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว และอาจต้องพิจารณารับประทานอาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดีเพิ่มเติม
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: เลือกกิจกรรมที่ไม่หักโหมหรือมีแรงกระแทกสูง เช่น เดิน รำไท้เก๊ก โยคะ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการทรงตัว ซึ่งจะช่วยป้องกันการหกล้ม
- จัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัย: เช่น มีแสงสว่างเพียงพอ พื้นไม่ลื่น ติดตั้งราวจับในห้องน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงในการหกล้ม
- ปรึกษาแพทย์: หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพกระดูก หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
การดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วัยหนุ่มสาว จะช่วยให้เรามีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรงและห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนในอนาคต
สรุป
แม้ว่าทุกคนมีโอกาสเป็น “โรคกระดูกพรุน” แต่ถ้าเราพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเข้ารับ “การตรวจภาวะกระดูก” อย่างละเอียด ก็เป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ อย่าปล่อยให้ความเจ็บป่วยที่มาพร้อมกับภาวะกระดูกพรุน กระดูกเสื่อม บั่นทอนความสุขในการใช้ชีวิตของคุณเลย… เชื่อเถอะว่าการ “ดูแล” ย่อมดีกว่าการ “รักษา” แน่นอน
หากท่านกำลังกังวลเรื่องการดูแลผู้ป่วยพักฟื้น ผู้สูงอายุ การกายภาพบำบัด การจัดกิจกรรมบำบัด การชะลอความเสื่อม ให้ ไอแคร์ เวลเนส จำกัด
สามารถช่วยท่านดูแล ได้ทั้งระยะสั้น และระยะยาวค่ะ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์)
สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8
สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9
*********************************
ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ
ไอแคร์ เวเนส จำกัด
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร : 066-112-9500
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care
โทร : 066-109-4500
Line : @icare-nursing (มี@)
อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #อุบลราชธานี #ผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลสุขภาพ #ผู้ช่วยพยาบาล #อำนาจเจริญ #ยโสธร #ศรีสะเกษ #ดูแลผู้สูงอายุ #เนอร์สซิ่งโฮม #ประกันสุขภาพ #โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ #อุบลรักษ์ #โรงพยาบาลพริ้นซ์อุบลราชธานี #โรงพยาบาลราชเวช #ไอแคร์ #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกช่วงวัย #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ #ดูแลผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลคนชรา #ดูแลคนแก่ #ดูแลผู้ป่วยพักฟื้น #ห้องพักฟื้น #กิจกรรมบำบัด