กระดูกหัก (Bone Fracture): อาการบาดเจ็บที่ต้องรักษาอย่างถูกวิธี
กระดูกหัก หรือ Bone Fracture เป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการที่กระดูกแตก หัก หรือแยกจากกัน ซึ่งอาจเกิดจากแรงกระแทก อุบัติเหตุ หรือแม้แต่การเสื่อมของกระดูกตามวัย การรักษาอาการกระดูกหักนั้นจำเป็นต้องทำอย่างถูกวิธี เพื่อให้กระดูกฟื้นฟูและกลับคืนสู่สภาพปกติได้รวดเร็วและแข็งแรง
สาเหตุของกระดูกหัก
- อุบัติเหตุ: ล้ม กระแทก หรือชนอย่างรุนแรง
- การออกกำลังกายหรือกีฬาที่มีแรงกดมาก: การใช้กล้ามเนื้อหรืออวัยวะมากเกินไป
- โรคกระดูกพรุน: ความเปราะบางของกระดูกที่ทำให้แตกหักง่าย
- การเสื่อมของกระดูก: อายุที่มากขึ้นทำให้กระดูกอ่อนแอลง
อาการที่สงสัยกระดูกหัก
หากเกิดอาการดังต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณของกระดูกหัก หากคุณหรือพบเห็นผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- มีอาการปวดแบบเฉียบพลันและรุนแรง: เป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นอย่างทันทีและรุนแรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งอาการปวดอาจแย่ลงเมื่อพยายามจะขยับหรือเคลื่อนไหวส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ
- มีอาการบวมและช้ำ: บริเวณที่มีกระดูกหักจะมีอาการบวม ช้ำ หรือแดง ซึ่งเกิดจากการแตกของหลอดเลือดบริเวณเนื้อเยื่อรอบ ๆ กระดูกที่หัก
- ไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวได้เต็มที่: ส่วนที่เกิดกระดูกหักจะขยับได้น้อย หรือขยับไม่ได้เลย หรือในบางครั้งการหักของกระดูกชิ้นที่ได้รับบาดเจ็บ อาจมีผลให้ไม่สามารถขยับข้อต่อที่อยู่ใกล้เคียงได้
- แขนขา หรือส่วนที่ได้รับบาดเจ็บมีการผิดรูป: กระดูกหักอาจทำให้ส่วนของร่างกายเกิดการผิดรูปไป เช่น แขนหรือขาที่ผิดรูป หรือไม่อยู่ในแนวตรง
- มีเสียงกรอบแกรบหรือเสียงแตก: เมื่อเคลื่อนไหวส่วนที่กระดูกหัก อาจได้ยินเสียงกรอบแกรบหรือเสียงแตก
- มีแผลเปิดและกระดูกทะลุออกมานอกผิวหนัง: ในกรณีที่กระดูกหักทะลุผิวหนังออกมา อาจเห็นกระดูกโผล่ออกมาจากแผล ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ใครบ้างเสี่ยงกระดูกหัก?
กระดูกหักสามารถพบได้ในทุกเพศ และทุกวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่
- ผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหัก เนื่องจากกระดูกเริ่มมีความหนาแน่นน้อยลง นอกจากนี้ในผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกพรุนจะทำให้กระดูกหักง่ายขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการหกล้มโอกาสเกิดกระดูกหักมากขึ้น
- นักกีฬาและผู้ที่ทำกิจกรรมที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย: ผู้ที่เล่นกีฬาที่มีการปะทะสูง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือมวย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักจากการถูกกระแทก นอกจากนี้นักกีฬาที่ทำกิจกรรมที่ใช้แรงกดต่อกระดูกซ้ำ ๆ เช่น นักวิ่ง นักยกน้ำหนัก ก็มีโอกาสที่จะเกิดกระดูกหักได้มากขึ้น
- ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน: ภาวะกระดูกพรุนทำให้กระดูกสูญเสียแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ ไป ทำให้กระดูกบางลง ทำให้กระดูกหักได้ง่ายแม้จะเป็นแรงกระแทกที่ไม่รุนแรงก็ตาม
- เด็ก: เด็กมีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักมากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากกระดูกยังไม่แข็งแรงเต็มที่ และมีโอกาสหกล้มระหว่างการเล่นหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะกระดูกในเด็กมักจะหายเร็วกว่าผู้ใหญ่ เพราะกระดูกมีการเจริญเติบโตดี
- ผู้ที่หกล้มบ่อย ๆ: โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การหกล้มบ่อย ๆ เป็นสัญญาณว่ามีความเสี่ยงต่อการหักกระดูกเพิ่มขึ้น หรือผู้ที่มีปัญหาทางด้านการทรงตัวหรือมีโรคประจำตัวที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงก็มักมีโอกาสหกล้มได้ง่าย เพิ่มความเสี่ยงของภาวะกระดูกหัก
กระดูกหักมีกี่แบบย่อหน้านี้จะพาไปทำความรู้จัก
การแบ่งประเภทของอาการกระดูกหักเราสามารถแบ่งได้เป็นหลายรูปแบบตามลักษณะและสาเหตุของการหัก โดยทั่วไปสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
- กระดูกหักแบบที่ไม่มีแผลเปิด (Closed Fracture): เป็นกระดูกหักที่เกิดขึ้นโดยที่ชิ้นส่วนของกระดูกยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อ ไม่ได้ทะลุผิวหนังออกมา ทำให้ไม่มีแผลเปิดที่ผิวหนัง กระดูกหักประเภทนี้มักจะพบได้บ่อย มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีหากได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม มักเกิดจากการหกล้ม อุบัติเหตุ หรือแรงกระแทกต่าง ๆ
- กระดูกหักแบบที่มีแผลเปิด (Open หรือ Compound Fracture): เป็นกระดูกหักแบบที่มีกระดูกทะลุผิวหนังออกมา ทำให้มีแผลเปิด และกระดูกอาจสัมผัสกับภายนอก ซึ่งอาจเกิดจากการที่กระดูกถูกแรงกระแทกอย่างรุนแรงหรือถูกบิดอย่างแรง กระดูกหักแบบนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ เนื่องจากกระดูกมีการสัมผัสกับเชื้อโรคภายนอก
นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทของกระดูกหัก ตามลักษณะของการหัก ดังนี้
- กระดูกหักทั่วไป (Simple Fracture): กระดูกหักชนิดนี้เป็นการที่กระดูกหักออกเป็นสองชิ้น มักพบในอุบัติเหตุหรือการหกล้ม
- กระดูกยุบตัว (Compression Fracture): กระดูกยุบตัวคือการที่กระดูกได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจนเกิดการยุบตัว โดยเฉพาะในกระดูกสันหลัง ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน
- กระดูกแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ (Comminuted Fracture): กระดูกหักชนิดนี้หมายถึงกระดูกที่หักออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ มากกว่า 3 ชิ้นขึ้นไป มักเกิดจากอุบัติเหตุที่รุนแรง เช่น อุบัติเหตุรถยนต์ หรือการตกจากที่สูง
- กระดูกหักแบบเกลียว (Spiral Fracture): กระดูกหักแบบเกลียวเกิดจากการที่กระดูกถูกบิดหรืองอจนเกิดการหักเป็นลักษณะเกลียวหรือสกรู มักพบในการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุที่มีแรงบิดสูง
- กระดูกเดาะ (Greenstick Fracture): กระดูกเดาะหมายถึงกระดูกที่หักเพียงข้างเดียว ส่วนอีกด้านหนึ่งยังคงต่อกันอยู่ หรือเกิดการโค้งงอไปตามแรงที่กระแทก ซึ่งมักเกิดในเด็ก เนื่องจากกระดูกของเด็กมีความยืดหยุ่นมากกว่ากระดูกของผู้ใหญ่
- ปุ่มกระดูกหัก (Avulsion Fracture): การหักชนิดนี้เกิดจากกระดูกถูกดึงหรือกระชากอย่างแรง ทำให้ส่วนของกระดูกที่ปุ่มหรือปมกระดูกหลุดออกไป มักพบในบริเวณหัวไหล่ หัวเข่า และข้อเท้า เป็นการหักที่มักเจอในนักกีฬา
- กระดูกหักแนวขวาง (Transverse Fracture): กระดูกหักในแนวขวางคือการหักของกระดูกที่เกิดในแนวขวางของกระดูก มักเกิดจากการกระแทกโดยตรงหรือแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในแนวตั้งฉาก
- กระดูกหักแบบเฉียง (Oblique Fracture): กระดูกหักแบบนี้มักเกิดจากกระดูกที่หักในแนวเฉียงหรือลาดลง มักเกิดจากแรงกระแทกที่มาจากมุมเฉียง
- กระดูกหักยุบเข้าหากัน (Impacted Fracture): กระดูกหักชนิดนี้เกิดจากการที่กระดูกสองฝั่งถูกกดเข้าหากัน ทำให้กระดูกแตกและยุบลงทั้งสองด้าน มักพบในกรณีของอุบัติเหตุที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การตกจากที่สูง
- กระดูกหักจากความเครียด (Stress Fracture): เกิดจากการใช้งานกระดูกอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนทำให้กระดูกเกิดรอยร้าวเล็ก ๆ พบได้บ่อยในนักกีฬา เช่น นักวิ่ง หรือผู้ที่ต้องทำกิจกรรมที่ใช้งานกระดูกซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
- กระดูกหักจากโรคหรือความผิดปกติอื่น ๆ (Pathologic Fracture): เกิดจากภาวะหรือโรคที่ทำให้กระดูกอ่อนแอลง เช่น โรคกระดูกพรุน มะเร็งกระดูก หรือโรคที่ทำให้มวลกระดูกลดลง
การรักษากระดูกหักที่ถูกวิธี
- การดามหรือใส่เฝือก: เพื่อให้กระดูกที่หักอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและมั่นคง
- การผ่าตัด: ในกรณีที่กระดูกหักรุนแรงหรือไม่สามารถเชื่อมต่อเองได้
- การกายภาพบำบัด: หลังจากกระดูกหายดีแล้ว ควรฟื้นฟูกล้ามเนื้อและข้อต่อให้กลับมามีประสิทธิภาพ
- การพักผ่อนอย่างเหมาะสม: การพักผ่อนเพียงพอและหลีกเลี่ยงการใช้แรงกายที่อาจทำให้กระดูกกลับมาหักอีก
- การรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก: แคลเซียม โปรตีน และวิตามินดี เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการฟื้นฟูกระดูก
ข้อควรระวัง
- อย่าฝืนเคลื่อนไหวหรือใช้งานอวัยวะที่หักก่อนเวลาที่ควร
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ น้ำอัดลม เพราะจะทำให้กระดูกฟื้นตัวช้าลง
- อย่าทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารเค็มจัด เพราะโซเดียมจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม
การรักษากระดูกหักต้องอาศัยความอดทนและการดูแลที่เหมาะสม ทั้งการรักษาทางการแพทย์ การทานอาหารที่เสริมสร้างกระดูก และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ สิ่งสำคัญคือการรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อให้กระดูกกลับมาแข็งแรงและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต.
กระดูกหัก ดูแลอย่างไรให้หายเร็ว อาหารที่ควรทานและไม่ควรทาน รวมถึงการรักษาและการดูแล
กระดูกหักเป็นอาการบาดเจ็บที่ต้องการการดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อให้กระดูกฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม การดูแลที่เหมาะสม รวมถึงการเลือกทานอาหารที่ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้กระดูกต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาและการดูแลเมื่อกระดูกหัก
- การดามหรือใส่เฝือก
แพทย์จะใช้วิธีการดามหรือใส่เฝือก เพื่อให้กระดูกที่หักกลับมาต่อกันได้อย่างถูกต้อง ไม่ขยับไปมาและมั่นคงในตำแหน่งที่ควรจะเป็น
- การผ่าตัด
หากกระดูกหักอย่างรุนแรงหรือหักเป็นชิ้นเล็ก ๆ อาจต้องการการผ่าตัดเพื่อใส่โลหะหรือสกรู เพื่อให้กระดูกต่อกันและอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
- การพักผ่อน
การพักผ่อนอย่างเพียงพอและการไม่ฝืนร่างกายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษากระดูกหัก การหลีกเลี่ยงการใช้แรงในบริเวณที่บาดเจ็บจะช่วยให้กระดูกเชื่อมต่อกันได้เร็วขึ้น
- การกายภาพบำบัด
หลังจากที่กระดูกเริ่มหายแล้ว การทำกายภาพบำบัดจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและข้อต่อที่อาจอ่อนแรงจากการไม่เคลื่อนไหวระหว่างการรักษา
อาหารที่ควรทานเมื่อกระดูกหัก
- อาหารที่มีแคลเซียมสูง
แคลเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการเสริมสร้างและฟื้นฟูกระดูก ควรทานนม โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว เช่น คะน้า และผักโขม เพื่อเสริมแคลเซียมให้เพียงพอ
- อาหารที่มีวิตามินดี
วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ควรทานปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน หรือรับแสงแดดในยามเช้าประมาณ 15-30 นาทีต่อวัน เพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามินดีในร่างกาย
- โปรตีน
โปรตีนช่วยในกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและกระดูก ควรทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ หรือถั่วแระ
- โอเมก้า-3
สารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบและเสริมการซ่อมแซมกระดูก พบได้ในปลา เช่น แซลมอน แมคเคอเรล และปลาทะเลน้ำลึก
- วิตามินซี
ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก ควรทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ และมะนาว
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อกระดูกหัก
- อาหารที่มีโซเดียมสูง
อาหารที่มีเกลือมากเกินไป เช่น อาหารเค็มจัด จะทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมผ่านทางปัสสาวะ จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ขนมกรุบกรอบ หรืออาหารสำเร็จรูปที่มีโซเดียมสูง
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
กาแฟ น้ำอัดลม และชาในปริมาณมาก อาจทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง ควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มเหล่านี้ในแต่ละวัน
- แอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม และทำให้กระดูกฟื้นตัวช้าลง
- อาหารที่มีไขมันสูง
ไขมันมากเกินไปจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ยากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันสูง
การดูแลกระดูกหักให้หายเร็ว จำเป็นต้องใช้การรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม ร่วมกับการเลือกทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การหลีกเลี่ยงอาหารหรือกิจกรรมที่อาจทำให้กระดูกฟื้นตัวช้าลงก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้กระดูกกลับมาแข็งแรงและสุขภาพดีในระยะเวลาอันสั้น.
การฟื้นฟูและข้อควรระวังหลังจากกระดูกหาย
- ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อฟื้นฟูกำลัง
หลังจากกระดูกเริ่มฟื้นฟูจนแพทย์อนุญาตให้เริ่มเคลื่อนไหวได้ ควรเริ่มด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อและข้อต่อกลับมามีความยืดหยุ่น การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดินเบา ๆ การยืดกล้ามเนื้อ หรือโยคะ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและปรับสมดุลให้กับร่างกาย
- การกายภาพบำบัด
ในกรณีที่กระดูกหักบริเวณสำคัญ เช่น ขา แขน หรือกระดูกสันหลัง การทำกายภาพบำบัดจะช่วยให้การฟื้นตัวมีประสิทธิภาพ การทำตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัดจะช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกกลับมาใช้งานได้อย่างเต็มที่ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
หลีกเลี่ยงการใช้งานหนักเกินไป
แม้กระดูกจะเริ่มเชื่อมต่อได้ดีแล้ว แต่ไม่ควรเร่งรีบใช้งานอวัยวะที่บาดเจ็บมากเกินไป ควรค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักในการใช้งานทีละน้อย เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจเสี่ยงต่อการลื่นล้ม หรือแรงกระแทก เช่น การเล่นกีฬาที่มีแรงปะทะ การยกของหนัก
วิถีชีวิตที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงหลังการฟื้นตัว
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี
แม้กระดูกจะหายแล้ว แต่การรักษาสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญ ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมอย่างต่อเนื่อง เช่น นม ชีส โยเกิร์ต และผักใบเขียว รวมถึงรับวิตามินดีจากแสงแดด หรืออาหารเสริมวิตามินดี หากจำเป็น
- การออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูก
การออกกำลังกายที่เน้นการใช้แรง เช่น การเดินเร็ว การวิ่ง หรือการยกน้ำหนัก จะช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุนในอนาคต การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดและกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
บุหรี่และแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยที่ทำให้กระดูกอ่อนแอ และลดประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่เพื่อรักษาสุขภาพกระดูก
ตรวจสุขภาพกระดูกเป็นประจำ
หากคุณเคยมีปัญหากระดูกหักมาก่อน หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ควรตรวจสุขภาพกระดูกเป็นประจำเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของกระดูก และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
กระดูกหักเป็นภาวะที่กระดูกมีการแตกหรือหัก อาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือโรคบางชนิด ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิต การเข้าใจกระดูกหักมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้เราป้องกันและรับมือกับภาวะนี้ได้อย่างเหมาะสม การตรวจความเสี่ยงกระดูกหักเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยให้ทราบถึงปัจจัยเสี่ยงและช่วยในการวางแผนดูแลสุขภาพกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลกระดูกหลังจากการฟื้นฟูเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจอย่างต่อเนื่อง การฟื้นฟูกำลังด้วยการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่เสริมสร้างกระดูก และการดูแลสุขภาพร่างกายโดยรวม จะช่วยให้กระดูกของคุณกลับมาแข็งแรง และป้องกันการเกิดอาการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต อย่าลืมพักผ่อนและให้เวลากระดูกในการฟื้นฟู เพื่อให้ร่างกายกลับมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง
หากท่านกำลังกังวลเรื่องการดูแลผู้ป่วยพักฟื้น ผู้สูงอายุ การกายภาพบำบัด การจัดกิจกรรมบำบัด การชะลอความเสื่อม ให้ ไอแคร์ เวลเนส จำกัด สามารถช่วยท่านดูแล ได้ทั้ง ระยะสั้น และระยะยาวค่ะ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์)
สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP :
https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8
สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP :
https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9
*********************************
ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ
ไอแคร์ เวเนส จำกัด
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร :
066-112-9500
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care
โทร :
066-109-4500
Line :
@icare-nursing (มี@)
อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #อุบลราชธานี #ผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลสุขภาพ #ผู้ช่วยพยาบาล #อำนาจเจริญ #ยโสธร #ศรีสะเกษ #ดูแลผู้สูงอายุ #เนอร์สซิ่งโฮม #ประกันสุขภาพ #โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ #อุบลรักษ์ #โรงพยาบาลพริ้นซ์อุบลราชธานี #โรงพยาบาลราชเวช #ไอแคร์ #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกช่วงวัย #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ #ดูแลผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลคนชรา #ดูแลคนแก่ #ดูแลผู้ป่วยพักฟื้น #ห้องพักฟื้น #กิจกรรมบำบัด #ไตวาย #มะเร็ง