พฤติกรรมเสี่ยงโรคเกาต์ (Gout) ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคเกาต์

โรคเกาต์เกิดจากอะไรและมีปัจจัยเสี่ยงใดบ้างที่สำคัญ?

โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานาน โดยกรดยูริกจะตกผลึกและสะสมในข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม แดง และร้อน

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคเกาต์มีดังนี้:

  • อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูงจะเพิ่มการสร้างกรดยูริกในร่างกาย อาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด (เช่น กุ้ง หอย ปลาซาร์ดีน) เนื้อแดง และน้ำซุปที่ทำจากกระดูก นอกจากนี้ อาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง เช่น น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มสำเร็จรูป ก็สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกได้
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์ มีสารพิวรีนสูงและทำให้การขับกรดยูริกออกจากร่างกายลดลง
  • ภาวะอ้วน: เซลล์ไขมันจะสร้างกรดยูริกมากกว่าเซลล์กล้ามเนื้อ และภาวะอ้วนยังส่งผลให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งกระตุ้นการสร้างกรดยูริก
  • ยาบางชนิด: ยาขับปัสสาวะบางชนิดและยาไซโคลสปอริน สามารถลดการขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้
  • โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคต่อมไทรอยด์ สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกาต์ได้
  • พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากขึ้น และปัจจุบันสามารถตรวจรหัสพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์ได้
  • ความเครียด: ความเครียดสามารถกระตุ้นการอักเสบและเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกาต์ได้
  • การสร้างกรดยูริกมากเกินไป: บางคนอาจสร้างกรดยูริกมากเกินไปจากการทำลายของเซลล์ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  • การบาดเจ็บของเซลล์: เมื่อเซลล์ในร่างกายบาดเจ็บหรืออักเสบ ก็จะมีการปล่อยกรดยูริกออกมามากขึ้น
  • ภาวะขาดน้ำ: การขาดน้ำทำให้ไตขับกรดยูริกได้ไม่ดี ทำให้กรดยูริกสะสมในร่างกาย
  • เพศและอายุ: ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 35 ปี และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

นอกจากนี้ การบริโภคผักทอดยอดและเมล็ดพืชอ่อนก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ เนื่องจากมีสารพิวรีน การเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ จะช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลตนเองจากโรคเกาต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อโรคเกาต์กำเริบ สิ่งที่ควรทำมีดังนี้:

  • พักผ่อนและลดการใช้งานข้อ: หากมีอาการปวดเกาต์กำเริบ ควรพักการใช้งานข้อนั้นๆ เช่น หากปวดที่นิ้วโป้งเท้า ควรเดินให้น้อยลง หรือใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง หากอาการปวดรุนแรงมาก ควรพักการใช้งานข้อนั้นโดยสิ้นเชิง ไม่ควรลงน้ำหนักบนข้อที่ปวด อาจจะยกเท้าสูงขึ้นเพื่อช่วยลดอาการบวม
  • ประคบเย็น: การประคบเย็นบริเวณข้อที่ปวดสามารถช่วยลดอาการปวดได้ มีงานวิจัยพบว่าการประคบเย็นมีประสิทธิภาพในการลดปวดเทียบเท่ากับการใช้ยาแก้ปวด
  • หลีกเลี่ยงการบีบนวด: ไม่ควรนวดบริเวณที่ปวด เพราะการนวดจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากขึ้น และอาจทำให้กรดยูริกตกตะกอนที่ข้อมากขึ้น ทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้
  • พบแพทย์: หากอาการปวดไม่ดีขึ้นหรือมีอาการอักเสบเพิ่มขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยยา
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง: หากมีอาการปวดเฉียบพลัน แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ หรือยาโคลชิซีน เพื่อช่วยลดอาการปวดและอักเสบ และแพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดกรดยูริกเพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดในระยะยาว
  • ดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยเพิ่มการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย โดยควรดื่มน้ำให้มากกว่า 8-10 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 2-3 ลิตร หากไม่มีข้อจำกัดเรื่องการดื่มน้ำ
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาหาร:

ลดการดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งมีสารพิวรีนสูงและลดการขับกรดยูริก

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง: เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล (โดยเฉพาะกุ้ง หอย ปลาซาร์ดีน ปลาอินทรี ปลาแมคเคอเรล) เนื้อแดง น้ำซุปที่ทำจากกระดูก

ลดอาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง: เช่น น้ำผลไม้ น้ำอัดลม เครื่องดื่มสำเร็จรูป ขนมหวานต่างๆ

ลดการบริโภคผักทอดยอด: เช่น ยอดตำลึง ยอดชะอม ยอดกฐิน ยอดฟักแม้ว เพราะมีพิวรีนสูง

เลือกรับประทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำ: เช่น นม ไข่ ผักต่างๆ (โดยเฉพาะผักที่มีพิวรีนต่ำหรือปานกลาง) และเนื้อปลา

  • ควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักจะช่วยลดการสร้างกรดยูริกในร่างกาย
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยควบคุมน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคเกาต์
  • ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ: ควรไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการและปรับยาอย่างเหมาะสม ไม่ควรหยุดยาเอง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมเมื่อโรคเกาต์กำเริบ จะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้

โรคเกาต์เกิดจากอะไรและมีสาเหตุใดบ้าง

โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานาน โดยกรดยูริกจะตกผลึกและสะสมในข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม แดง และร้อน

สาเหตุหลักของโรคเกาต์มาจาก การมีกรดยูริกในเลือดสูง ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยดังนี้:

  • การสร้างกรดยูริกมากเกินไป: ร่างกายสามารถสร้างกรดยูริกได้เอง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการสลายสารพิวรีนในเซลล์ และส่วนน้อยมาจากการรับประทานอาหาร แต่ในบางคนอาจมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไปจากภาวะบางอย่าง เช่น การทำลายเซลล์ในผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
  • การขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้น้อย: ไตมีหน้าที่ในการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย แต่ในบางคน ไตอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้การขับกรดยูริกเป็นไปได้ช้าลง หรืออาจเกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาไซโคลสปอริน ที่ทำให้การขับกรดยูริกลดลง
  • อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง จะทำให้ร่างกายสร้างกรดยูริกมากขึ้น อาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด (เช่น กุ้ง หอย ปลาซาร์ดีน ปลาอินทรี ปลาแมคเคอเรล) เนื้อแดง และน้ำซุปที่ทำจากกระดูก นอกจากนี้ อาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง เช่น น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มสำเร็จรูป ก็สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกได้
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์ มีสารพิวรีนสูงและทำให้การขับกรดยูริกออกจากร่างกายลดลง
  • ภาวะอ้วน: เซลล์ไขมันจะสร้างกรดยูริกมากกว่าเซลล์กล้ามเนื้อ และภาวะอ้วนยังส่งผลให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งกระตุ้นการสร้างกรดยูริก
  • พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากขึ้น และปัจจุบันสามารถตรวจรหัสพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์ได้
  • ความเครียด: ความเครียดสามารถกระตุ้นการอักเสบและเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกาต์ได้
  • การบาดเจ็บของเซลล์: เมื่อเซลล์ในร่างกายบาดเจ็บหรืออักเสบ ก็จะมีการปล่อยกรดยูริกออกมามากขึ้น
  • โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคต่อมไทรอยด์ สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกาต์ได้
  • เพศและอายุ: ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 35 ปี และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • ผักทอดยอดและเมล็ดพืชอ่อน: การบริโภคผักทอดยอดและเมล็ดพืชอ่อนก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ เนื่องจากมีสารพิวรีน เช่น ยอดตำลึง ยอดชะอม ยอดกฐิน ยอดฟักแม้ว และเมล็ดถั่วฝักยาว

เมื่อมีกรดยูริกในเลือดสูงและไม่ถูกขับออกอย่างเพียงพอ จะเกิดการสะสมและตกผลึกเป็นผลึกคล้ายแก้วตามข้อต่อต่างๆ ทำให้เกิดการระคายเคือง การอักเสบ และอาการปวดบวมแดงร้อนตามมา

วิธีการรักษาโรคเกาต์โดยไม่ใช้ยา

การรักษาโรคเกาต์โดยไม่ใช้ยาตามข้อมูลที่ให้มา สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาหาร รวมถึงการใช้สารอาหารจากธรรมชาติเพื่อลดการอักเสบและควบคุมระดับกรดยูริกในเลือด วิธีการดังกล่าวมีดังนี้:

  • การประคบเย็น: เมื่อมีอาการปวดจากโรคเกาต์กำเริบ การประคบเย็นบริเวณข้อที่มีอาการปวดสามารถช่วยลดอาการปวดได้เทียบเท่ากับการทานยาแก้ปวด
  • การพักผ่อนและการจำกัดการใช้งานข้อ: หากมีอาการเกาต์กำเริบ ควรพักผ่อนและจำกัดการใช้งานข้อที่มีอาการ เช่น หากมีอาการที่นิ้วโป้งเท้า ควรหลีกเลี่ยงการเดินมาก หรือหาอุปกรณ์มาช่วยพยุง
  • หลีกเลี่ยงการนวด: ห้ามบีบนวดบริเวณที่ปวด เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำให้กรดยูริกตกตะกอนมากขึ้น
  • การควบคุมอาหาร: การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีส่วนสำคัญในการควบคุมโรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดกรดยูริกในร่างกาย

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง:

เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต ไส้

อาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย ปลาซาร์ดีน ปลาอินทรี ปลาแมคเคอเรล โดยเฉพาะหอย กุ้ง และปลาที่มีไขมันมาก

เนื้อแดง

น้ำซุป ที่ทำจากกระดูกหรือเนื้อสัตว์

อาหารที่เกิดจากการหมักของยีสต์ เช่น เบเกอรี่ ขนมปัง ขนมเค้ก และเบียร์

อาหารที่ควรรับประทาน:

นมและไข่

เนื้อปลา

ผักบางชนิด: ผักที่มียอดอ่อน เช่น ยอดกฐิน ยอดชะอม ยอดตำลึง ยอดฟักแม้ว และผักบุ้ง26 รวมถึงเมล็ดพืชอ่อนๆ เช่น เมล็ดมะเขือเทศ แตงกวา ถั่วฝักยาว

  • ลดการบริโภคผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก: ควรลดการทานผลไม้ในปริมาณมาก รวมถึงน้ำผลไม้ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง เช่น น้ำอัดลม ชาเขียวสำเร็จรูป เพราะน้ำตาลฟรุกโตสสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกในร่างกายได้
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งมีพิวรีนสูง และทำให้การขับกรดยูริกของร่างกายลดลง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำมากกว่า 8-10 แก้วต่อวัน หรือ 2-3 ลิตร เพื่อช่วยในการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
  • ควบคุมน้ำหนัก: ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรควบคุมและลดน้ำหนัก เพราะภาวะอ้วนทำให้การเผาผลาญกรดยูริกผิดปกติ
  • การใช้สารอาหารจากธรรมชาติ:

กรดไขมันโอเมก้า 3: เช่น น้ำมันปลา น้ำมันงาขี้มอน หรือน้ำมันมะกอก มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ

สารสกัดจากพืช: เช่น เคอร์คูมินในขมิ้น บอสเวลเลีย หรือไพรสกัด มีคุณสมบัติลดการอักเสบได้ดี รวมถึงสารแอสต้าแซนธินจากสาหร่ายสีแดง

  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคเกาต์ โดยเฉพาะการวิ่งวันละ 8 กิโลเมตร สามารถลดความเสี่ยงได้ถึง 50%
  • หลีกเลี่ยงความเครียด: เพราะความเครียดสามารถกระตุ้นการอักเสบและเพิ่มความเสี่ยงของโรคเกาต์
  • การดูแลสุขภาพโดยรวม: ควรดูแลสุขภาพและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไต

ข้อควรระวัง:

  • ถึงแม้จะใช้วิธีการดูแลตัวเองโดยไม่ใช้ยา ก็ควรปรึกษาแพทย์และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และอาจต้องมีการปรับยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารเสริมหรือสมุนไพรที่อ้างว่าสามารถรักษาโรคเกาต์ได้เอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาหารร่วมกับการดูแลสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคเกาต์และลดความจำเป็นในการใช้ยา การทำความเข้าใจถึงสาเหตุของโรคและการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถจัดการกับโรคเกาต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันโรคเกาต์ ทำได้อย่างไร

การป้องกันโรคเกาต์สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหาร เพื่อลดระดับกรดยูริกในเลือดและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกำเริบของโรค แนวทางการป้องกันโรคเกาต์มีดังนี้:

  • ควบคุมอาหาร: การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคเกาต์ โดยควรเน้นการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกรดยูริก อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัด ได้แก่:

เครื่องในสัตว์: เช่น ตับ ไต ไส้ สมอง

อาหารทะเล: โดยเฉพาะอาหารทะเลที่มีเปลือก เช่น กุ้ง หอย และปลาบางชนิดที่มีไขมันสูง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี ปลาทูน่า และปลาแซลมอน รวมถึงปลาหมึกและปลาที่มีไขมันมาก โดยเฉพาะปลาซาร์ดีนซึ่งใช้ทำปลากระป๋อง

เนื้อสัตว์: โดยเฉพาะเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อแกะ ควรจำกัดการบริโภคสัตว์ปีก

น้ำซุป: น้ำซุปที่ทำจากกระดูกหรือเนื้อสัตว์

อาหารที่เกิดจากการหมักของยีสต์: เช่น เบเกอรี่ ขนมปัง ขนมเค้ก

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์ที่มีพิวรีนสูง และส่งผลต่อการขับกรดยูริก ไวน์ก็ควรหลีกเลี่ยงด้วย

  • น้ำผลไม้และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง: โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง เช่น น้ำอัดลม ชาเขียวสำเร็จรูป และน้ำหวานต่างๆ เนื่องจากฟรุกโตสสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกในร่างกายได้
  • ผักบางชนิด: ผักที่มียอดอ่อน เช่น ยอดกฐิน ยอดชะอม ยอดตำลึง ยอดฟักแม้ว และผักบุ้ง รวมถึงเมล็ดพืชอ่อนๆ เช่น เมล็ดมะเขือเทศ แตงกวา และถั่วฝักยาว
  • กะปิ
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำหรือปานกลาง ได้แก่:

นมและผลิตภัณฑ์จากนม: โดยเฉพาะนมไขมันต่ำ

ไข่

ผัก: ผักส่วนใหญ่มีพิวรีนต่ำและมีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถทานได้ในปริมาณที่เหมาะสม

เนื้อปลา: ควรเลือกเนื้อปลาที่มีไขมันต่ำ

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำมากๆ (มากกว่า 8-10 แก้วต่อวัน หรือ 2-3 ลิตร) ช่วยในการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
  • ควบคุมน้ำหนัก: การมีน้ำหนักเกินจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์และทำให้อาการแย่ลง ควรควบคุมและลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพราะเซลล์ไขมันสร้างกรดยูริกได้มากกว่าเซลล์กล้ามเนื้อ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล: เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะฟรุกโตส สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกได้
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์ เนื่องจากมีพิวรีนสูงและส่งผลต่อการขับกรดยูริก
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์ โดยเฉพาะการวิ่ง
  • จัดการความเครียด: ความเครียดสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำให้อาการของโรคเกาต์แย่ลง ควรหาทางจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการของโรคเกาต์ หรือมีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงการใช้ยาเพื่อลดกรดยูริกในเลือด และควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะและยาไซโคลสปอริน สามารถทำให้ร่างกายขับกรดยูริกได้ช้าลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยาหรือเปลี่ยนยา
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด: เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง

การปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์ และช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคเกาต์สามารถควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น การดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ทั้งการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ และการจัดการความเครียด จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้

สรุป

โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณข้อต่อ โดยเฉพาะที่ข้อเท้าและนิ้วหัวแม่เท้า หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้ข้อพิการ ไตวาย และเกิดก้อนโทฟัส การทำความเข้าใจสาเหตุและแนวทางการป้องกันโรคเกาต์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

สาเหตุของโรคเกาต์

  • การสร้างกรดยูริกในร่างกาย: ร่างกายสามารถสร้างกรดยูริกได้เอง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีน
  • อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูงจะเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้

เครื่องในสัตว์: เช่น ตับ ไต ไส้ สมอง

อาหารทะเล: โดยเฉพาะกุ้ง หอย ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปลาหมึกรวมถึงปลาที่มีไขมันมาก และปลาดุก

เนื้อสัตว์: โดยเฉพาะเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อแกะ สัตว์ปีกจัดอยู่ในกลุ่มพิวรีนปานกลาง แต่ควรทานในปริมาณจำกัด

น้ำซุป: โดยเฉพาะน้ำซุปที่ทำจากกระดูกหรือเนื้อสัตว์

อาหารหมักยีสต์: เช่น เบเกอรี่ ขนมปัง ขนมเค้ก

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์ที่มีพิวรีนสูง และส่งผลต่อการขับกรดยูริก

เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง: โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตส เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชาเขียวสำเร็จรูป

ผักบางชนิด: ผักที่มีพิวรีนสูง เช่น ยอดกฐิน ยอดชะอม ยอดตำลึง ยอดฟักแม้ว ยอดผักบุ้ง และเมล็ดพืชอ่อน เช่น เมล็ดมะเขือเทศ แตงกวา และถั่วฝักยาว

  • การขับกรดยูริก: หากไตทำงานได้ไม่ดี การขับกรดยูริกออกจากร่างกายจะลดลง
  • ยาบางชนิด: ยาขับปัสสาวะและยาไซโคลสปอริน อาจทำให้การขับกรดยูริกลดลง
  • ปัจจัยอื่นๆ: โรคอ้วน ความเครียด พันธุกรรม และโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต เบาหวาน โรคมะเร็ง และต่อมไทรอยด์

อาการของโรคเกาต์

  • ระยะเฉียบพลัน: ข้ออักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่เท้า มักมีอาการมากในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และอาจหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ระยะสงบ: ไม่มีอาการ แต่ระดับกรดยูริกในเลือดยังสูงอยู่
  • ระยะเรื้อรัง: มีอาการปวดข้อเป็นๆ หายๆ อาจมีก้อนโทฟัส ซึ่งเป็นผลึกกรดยูริกสะสมที่ข้อ ทำให้ข้อผิดรูปและเคลื่อนไหวลำบาก

การป้องกันโรคเกาต์

  • ควบคุมอาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง และเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น นม ไข่ ผัก และเนื้อปลาที่มีไขมันต่ำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยในการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
  • จำกัดหรือหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะเบียร์
  • ควบคุมน้ำหนัก: ลดน้ำหนักส่วนเกิน เนื่องจากเซลล์ไขมันสร้างกรดยูริกมากกว่าเซลล์กล้ามเนื้อ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง: โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตส
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกาต์ และควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
  • จัดการความเครียด: ความเครียดอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบ
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงยาบางชนิด: หากมีโรคประจำตัวและต้องทานยา ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลข้างเคียงของยา
  • พักผ่อน: พักผ่อนให้เพียงพอ

การรักษาโรคเกาต์

  • การรักษาด้วยยา: แพทย์จะใช้ยาเพื่อลดการอักเสบและลดระดับกรดยูริกในเลือด ยาที่ใช้มีหลายกลุ่ม เช่น ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โคลชิซิน และยาลดกรดยูริก
  • การประคบเย็น: เมื่อมีอาการปวด สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดได้
  • การรักษาทางเลือก: การใช้สารอาหารจากธรรมชาติ เช่น โอเมก้า 3, เคอร์คูมิน, บอสเวลเลีย และสารสกัดจากสาหร่ายสีแดง อาจช่วยลดการอักเสบได้

ข้อควรระวัง

  • ห้ามบีบนวด: ห้ามบีบนวดบริเวณข้อที่อักเสบ เพราะจะทำให้การอักเสบมากขึ้น
  • การซื้อยามารับประทานเอง: ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์
  • อาหารเสริม: ควรระมัดระวังการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ไม่ได้รับการรับรอง อาจมีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่

สรุป การดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ และการจัดการความเครียด จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์และช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคเกาต์สามารถควบคุมอาการของโรคได้ การปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด

หากท่านกำลังกังวลเรื่องการดูแลผู้ป่วยพักฟื้น ผู้สูงอายุ การกายภาพบำบัด การจัดกิจกรรมบำบัด การชะลอความเสื่อม ให้ ไอแคร์ เวลเนส จำกัด
สามารถช่วยท่านดูแล ได้ทั้งระยะสั้น และระยะยาวค่ะ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์)

สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8
สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9

*********************************
ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ
ไอแคร์ เวเนส จำกัด
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร : 066-112-9500
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care
โทร : 066-109-4500
Line : @icare-nursing (มี@)
อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care  #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #อุบลราชธานี #ผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลสุขภาพ #ผู้ช่วยพยาบาล #อำนาจเจริญ #ยโสธร #ศรีสะเกษ #ดูแลผู้สูงอายุ #เนอร์สซิ่งโฮม #ประกันสุขภาพ #โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ #อุบลรักษ์ #โรงพยาบาลพริ้นซ์อุบลราชธานี #โรงพยาบาลราชเวช #ไอแคร์ #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกช่วงวัย #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ #ดูแลผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลคนชรา #ดูแลคนแก่ #ดูแลผู้ป่วยพักฟื้น #ห้องพักฟื้น #กิจกรรมบำบัด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่