โรคที่มาหลังหยุดยาว ปาร์ตี้สนุก สุขภาพพังได้!

6 โรคหลังหยุดยาว

โรคที่มาหลังหยุดยาว ปาร์ตี้สนุก สุขภาพพังได้!

หลังจากช่วงเทศกาลหยุดยาวที่ผ่านมา หลายคนอาจจะยังคงเพลิดเพลินกับบรรยากาศการเฉลิมฉลอง แต่ก็มีหลายคนที่เริ่มรู้สึกไม่สบายตัว หรือมีอาการเจ็บป่วยตามมา ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นปกติในช่วงเทศกาล เช่น การรับประทานอาหารมากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการขาดการออกกำลังกาย

โรคยอดฮิตหลังหยุดยาว

1. โควิด-19: ผลกระทบและการรับมือ

โควิด-19 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วในช่วงปี พ.ศ. 2563 และส่งผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิต ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

การแพร่ระบาดของโควิด-19

  • การแพร่กระจาย: โควิด-19 แพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย โดยผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อ แล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก หรือปาก
  • อาการ: อาการของโรคค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ไปจนถึงอาการรุนแรง เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก ปวดกล้ามเนื้อ และสูญเสียการรับรสหรือกลิ่น
  • ความรุนแรง: ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ สุขภาพ และสายพันธุ์ของไวรัส

โควิด-19: ผลกระทบและการรับมือ

โควิด-19 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วในช่วงปี พ.ศ. 2563 และส่งผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิต ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

การแพร่ระบาดของโควิด-19

  • การแพร่กระจาย: โควิด-19 แพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย โดยผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อ แล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก หรือปาก
  • อาการ: อาการของโรคค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ไปจนถึงอาการรุนแรง เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก ปวดกล้ามเนื้อ และสูญเสียการรับรสหรือกลิ่น
  • ความรุนแรง: ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ สุขภาพ และสายพันธุ์ของไวรัส

ผลกระทบของโควิด-19

  • ด้านสุขภาพ: โควิด-19 ก่อให้เกิดภาระหนักต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก ทำให้โรงพยาบาลขาดแคลนเตียงผู้ป่วยและอุปกรณ์ทางการแพทย์
  • ด้านเศรษฐกิจ: การระบาดของโรคทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างรุนแรง เกิดการว่างงาน และธุรกิจหลายแห่งต้องปิดตัวลง
  • ด้านสังคม: โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก ทำให้ต้องกักตัวอยู่บ้าน ทำงานจากที่บ้าน และหลีกเลี่ยงการเดินทาง

การรับมือกับโควิด-19

  • มาตรการป้องกัน: เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ควรปฏิบัติตามมาตรการต่อไปนี้
    • สวมหน้ากากอนามัย
    • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์
    • รักษาความสะอาด
    • เว้นระยะห่างทางสังคม
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูก หรือปาก
  • การฉีดวัคซีน: การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการป่วยหนักและเสียชีวิต
  • การรักษา: การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังคงมีความไม่แน่นอน แต่ด้วยความร่วมมือของทุกคนในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน และการพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในอนาคต

2. ไข้หวัดใหญ่: เข้าใจโรคเพื่อป้องกันตัวเอง

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) มักระบาดเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝน อาการของโรคไข้หวัดใหญ่มักจะรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างมาก หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่มักจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 2 วัน หลังจากได้รับเชื้อ และอาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ไข้สูง: ไข้เป็นอาการเด่นของโรคไข้หวัดใหญ่ มักมีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ: รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวและข้อต่อ
  • ปวดศีรษะ: ปวดศีรษะรุนแรง
  • อ่อนเพลีย: รู้สึกอ่อนล้ามาก
  • ไอแห้ง: ไอโดยไม่มีเสมหะ
  • เจ็บคอ: คอแห้งและเจ็บ
  • คัดจมูก: มีน้ำมูกไหลหรือคัดจมูก
  • เบื่ออาหาร: ไม่รู้สึกอยากอาหาร

หมายเหตุ: อาการของโรคไข้หวัดใหญ่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการรุนแรงมาก ในขณะที่บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย

สาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย โดยผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนแล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก หรือปาก

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

  • ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่: วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันโรค
  • ล้างมือบ่อยๆ: ใช้สบู่และน้ำล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากไอ จาม หรือสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูก: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ด้วยมือที่สกปรก
  • สวมหน้ากากอนามัย: เมื่ออยู่ในที่สาธารณะหรือเมื่อมีคนป่วยใกล้ชิด
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายมีเวลาในการต่อสู้กับเชื้อโรค
  • ดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและป้องกันการขาดน้ำ
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง: หากอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาต้านไวรัส

หมายเหตุ: โรคไข้หวัดใหญ่สามารถรักษาให้หายได้เอง แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือมีไข้สูงติดต่อกันหลายวัน ควรไปพบแพทย์ทันที

ไข้หวัดใหญ่ VS โควิด-19

โรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด-19 มีอาการคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ทำให้หลายคนสับสนว่าตนเองป่วยเป็นโรคอะไร การตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงมีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง

สรุป

โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่สามารถป้องกันได้ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเองและคนที่คุณรัก หากคุณมีอาการสงสัยว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาที่ถูกต้อง

3. ไข้เลือดออก: ภัยใกล้ตัวที่ต้องระวัง

ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดโดยยุงลาย ซึ่งมักพบในเขตร้อนชื้น รวมถึงประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มียุงลายเพิ่มจำนวนมากขึ้น โรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเสียชีวิตได้

สาเหตุของไข้เลือดออก

  • ไวรัสเดงกี: เชื้อไวรัสชนิดนี้มี 4 สายพันธุ์ เมื่อยุงลายดูดเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส แล้วไปกัดคนอื่น เชื้อก็จะแพร่กระจายไปสู่คนนั้นได้
  • ยุงลาย: เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกที่สำคัญ มักพบในแหล่งน้ำขัง เช่น กะละมัง แจกัน หรือยางรถยนต์เก่า

อาการของไข้เลือดออก

อาการของไข้เลือดออกจะเริ่มปรากฏหลังจากถูกยุงลายกัดประมาณ 4-10 วัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ไข้สูง: ไข้สูงเฉียบพลัน เกิน 38.5 องศาเซลเซียส
  • ปวดศีรษะ: ปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณเบ้าตา
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ: รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวและข้อต่อ
  • ผื่นแดง: มีผื่นแดงขึ้นตามตัวคล้ายผื่นหัด
  • คลื่นไส้ อาเจียน: อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
  • เลือดออก: ในบางรายอาจมีอาการเลือดออก เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือเลือดออกในสมอง (อันตรายถึงชีวิต)

ภาวะแทรกซ้อนของไข้เลือดออก

หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที ไข้เลือดออกอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่

  • ไข้เลือดออกมีเลือดออก: เกิดการรั่วซึมของหลอดเลือด ทำให้เกิดเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ
  • ช็อก: เกิดจากการสูญเสียเลือดจำนวนมาก ทำให้ความดันโลหิตต่ำลงอย่างรวดเร็ว
  • อวัยวะล้มเหลว: อาจเกิดภาวะไตวาย ตับวาย หรือสมองบวม

การป้องกันไข้เลือดออก

  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง: กำจัดภาชนะที่ใส่น้ำขัง เช่น ยางรถยนต์เก่า กะละมัง เปลี่ยนน้ำในแจกันสัปดาห์ละครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด: สวมเสื้อผ้ามิดชิด ใช้ยาไล่ยุง และนอนในมุ้ง
  • ฉีดวัคซีน: ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ของไวรัส

การรักษาไข้เลือดออก

  • การรักษาตามอาการ: เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  • การรักษาในโรงพยาบาล: สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะให้การรักษาโดยการให้น้ำเกลือ และดูแลอาการแทรกซ้อนต่างๆ

หากคุณมีอาการสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

4. โรคไอกรน: โรคไอเรื้อรังที่ต้องระวัง

โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งทำให้เกิดอาการไอรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อาการไอของโรคไอกรนจะมีลักษณะเฉพาะคือ ไอเป็นชุดๆ ติดต่อกันหลายครั้งจนหายใจไม่ทัน แล้วตามด้วยเสียงหายใจเข้าลึกๆ คล้ายเสียงวู๊ป ทำให้ได้ชื่อว่า “โรคไอกรน”

อาการของโรคไอกรน

โรคไอกรนแบ่งออกเป็น 3 ระยะ

  1. ระยะเริ่มแรก: คล้ายอาการหวัด มีน้ำมูกไหล ไอแห้งๆ ไข้ต่ำๆ ตาแดง และน้ำตาไหล ระยะนี้มักจะกินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
  2. ระยะไอรุนแรง: เป็นระยะที่เด่นชัดที่สุด จะมีอาการไอเป็นชุดๆ ติดต่อกันหลายครั้ง จนหายใจไม่ทัน ตามด้วยเสียงหายใจเข้าลึกๆ คล้ายเสียงวู๊ป อาการนี้อาจกินเวลานานหลายสัปดาห์
  3. ระยะฟื้นตัว: อาการไอจะค่อยๆ ทุเลาลง แต่ยังคงมีอาการไอเรื้อรังได้นานหลายเดือน

สาเหตุของโรคไอกรน

โรคไอกรนติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางละอองฝอยจากการไอหรือจามของผู้ป่วย เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและคอ แล้วไปทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบและระคายเคือง

กลุ่มเสี่ยง

  • เด็กเล็ก: โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่สุด
  • ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน: รวมถึงผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ภาวะแทรกซ้อน

  • หายใจติดขัด: ในเด็กเล็ก อาการไอรุนแรงอาจทำให้หายใจติดขัดและหน้าเขียว
  • ปอดอักเสบ: การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนอาจนำไปสู่การเกิดปอดอักเสบ
  • ชัก: ในบางราย อาจเกิดอาการชักจากการขาดออกซิเจน
  • เสียชีวิต: โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ไม่ได้รับการรักษา

การป้องกัน

  • ฉีดวัคซีน: วัคซีนป้องกันโรคไอกรนเป็นวัคซีนรวมอยู่ในวัคซีน 5 ชนิด (วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน ตะคริว บาดทะยัก และบีทับ) ซึ่งเป็นวัคซีนที่เด็กทุกคนต้องได้รับ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: หากมีผู้ป่วยในบ้าน ควรแยกผู้ป่วยออกจากคนอื่น และสวมหน้ากากอนามัย
  • รักษาสุขอนามัย: ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากไอ จาม หรือสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อน

การรักษา

  • ยาปฏิชีวนะ: แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • ยาบรรเทาอาการ: เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก
  • ดูแลอาการ: ให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

หากสงสัยว่าตนเองหรือบุตรหลานป่วยเป็นโรคไอกรน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องทันที

5. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน/อาหารเป็นพิษ: เข้าใจและป้องกัน

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันหรืออาหารเป็นพิษ เป็นภาวะที่เกิดจากการถ่ายอุจจาระเหลวบ่อยครั้ง โดยมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิตจากอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อน อาการอื่นๆ ที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และไข้

สาเหตุ

  • เชื้อแบคทีเรีย: เช่น ซาลโมเนลลา, อีโคไล, สแตฟิโลคอคคัส ออเรียส
  • ไวรัส: เช่น โรตาไวรัส, นอร์วอล์คไวรัส
  • ปรสิต: เช่น จิ๊ด, อะมีบา

อาการ

  • ถ่ายอุจจาระเหลวบ่อยครั้ง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ไข้
  • อ่อนเพลีย
  • ในบางรายอาจมีเลือดปนในอุจจาระ

การป้องกัน

  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่: อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และไข่ ควรปรุงให้สุกทั่วถึง
  • ล้างมือบ่อยๆ: โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังสัมผัสสิ่งสกปรก
  • ดื่มน้ำสะอาด: หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการต้ม
  • ล้างผักผลไม้ให้สะอาด: ก่อนรับประทานควรล้างผักผลไม้ด้วยน้ำสะอาดและสบู่
  • แยกอาหารดิบและสุก: เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค
  • เก็บรักษาอาหารให้ถูกวิธี: อาหารที่ปรุงแล้วควรเก็บในตู้เย็น

การรักษา

  • ดื่มน้ำเกลือแร่: เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป
  • พักผ่อน: ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • รับประทานอาหารอ่อน: เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด: และอาหารที่มีไขมันสูง
  • ยา: แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาลดกรด ยาแก้ท้องเสีย

เมื่อใดควรพบแพทย์

  • ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
  • อาเจียนรุนแรง
  • ไข้สูง
  • ท้องเสียเรื้อรังเกิน 2 วัน
  • อ่อนเพลียมาก
  • เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น

  • ขาดน้ำ: เกิดจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมาก
  • การติดเชื้อในกระแสเลือด: ในรายที่รุนแรง
  • ภาวะทุพโภชนาการ: เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ได้

สรุป

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันหรืออาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่พบบ่อยและสามารถป้องกันได้ การรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อน

6. โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส หรือ โรคไข้หูดับ: ภัยร้ายที่ต้องระวัง

โรคไข้หูดับ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส (Streptococcus suis) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ โดยเฉพาะจากหมู ซึ่งเป็นพาหะนำโรคชนิดนี้ โรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

สาเหตุ

  • เชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส: เชื้อชนิดนี้มักอาศัยอยู่ในต่อมทอนซิล โพรงจมูก ทางเดินอาหาร และช่องคลอดของหมู
  • การรับประทานเนื้อหมูดิบหรือสุกไม่สุก: การรับประทานอาหารประเภทลาบหมูดิบ หลู้ หรือเนื้อหมูย่างไม่สุก เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ติดเชื้อ
  • การสัมผัสโดยตรงกับหมูที่ติดเชื้อ: การสัมผัสกับเลือด เนื้อ หรือสารคัดหลั่งของหมูที่ติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย

หมูที่ติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส

อาการ

อาการของโรคไข้หูดับอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปจะพบอาการดังนี้

  • ไข้สูง: ไข้สูงเฉียบพลัน
  • ปวดเมื่อยตามตัว: ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อต่อ
  • ปวดศีรษะ: ปวดศีรษะรุนแรง เวียนหัว
  • คอแข็ง: เมื่อพยายามก้มคางชิดอก จะรู้สึกปวด
  • คลื่นไส้ อาเจียน: อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
  • ซึม อ่อนเพลีย: รู้สึกไม่มีแรง
  • ปวดท้อง ท้องเสีย: อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย
  • มีผื่นแดงตามตัว: ผื่นแดงอาจคล้ายผื่นหัด
  • ในรายที่รุนแรง: อาจมีอาการชัก หมดสติ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูหนวก และเสียชีวิต

ภาวะแทรกซ้อน

  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุด อาจทำให้เสียชีวิตหรือพิการ
  • ข้ออักเสบ: ข้อต่างๆ บวม แดง และเจ็บ
  • ม่านตาอักเสบ: ทำให้มองเห็นไม่ชัด
  • หูหนวก: เสียการได้ยิน

การรักษา

  • ยาปฏิชีวนะ: เป็นการรักษาที่สำคัญที่สุด เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • การรักษาตามอาการ: เช่น ให้น้ำเกลือ แก้ไข้ ลดปวด
  • การดูแลในโรงพยาบาล: ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะต้องได้รับการดูแลในโรงพยาบาล

การป้องกัน

  • ปรุงอาหารให้สุก: เนื้อหมูต้องปรุงให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบ: เช่น ลาบหมูดิบ หลู้
  • รักษาความสะอาด: ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสเนื้อสัตว์ดิบ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วย: โดยเฉพาะหมูที่ป่วย
  • หากมีบาดแผล: ควรรีบล้างทำความสะอาดและปิดแผล

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • หากมีอาการสงสัยว่าเป็นโรคไข้หูดับ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับหมู ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
  • การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกอย่างถูกสุขลักษณะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคนี้

 

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการเตือนภัยประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่จะมีการเดินทางท่องเที่ยวและพบปะสังสรรค์ของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญต่างๆ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่ายด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ประชาชนระมัดระวังโรคติดต่อจากต่างประเทศเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ไข้หวัดนก ฝีดาษวานร และโรคไข้โอโรพุช โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคดังกล่าว

 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่