โรคไตเกิดจากอะไร สังเกตอาการจากอะไร เมื่อเป็นโรคไตแล้วนั้น ควรปฎิบัติตัวอย่างไร


6 อาการสัญญาณเตือนโรคไต
ปัสสาวะขัด
ปัสสาวะกลางคืนบ่อย
ปัสสาวะสีน้ำตาลขุ่น
รอบตาหน้า และเท้า บวม
ปวดหลัง ปวดเอว
ความดันโลหิตสูง

บทบาทสำคัญของไตในร่างกาย

ไตทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย1 ไตมีส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกาย ดังนี้:

  • ควบคุมปริมาณน้ำและแร่ธาตุ: ไตทำหน้าที่กรองเลือดและควบคุมปริมาณน้ำและแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียม ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากร่างกายมีเกลือสะสมมากเกินไปจะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น เกิดอาการบวม และส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก ส่วนโพแทสเซียมที่สูงเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย
  • ขับของเสีย: ไตทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร รวมถึงยาบางชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ
  • ควบคุมความดันโลหิต: ไตมีบทบาทในการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • สร้างเม็ดเลือดแดง: ไตผลิตฮอร์โมน Erythropoietin ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก
  • รักษาสมดุลกรด-เบส: ไตช่วยรักษาสมดุลกรด-เบสในเลือด ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย

ไตทั้งสองข้างตั้งอยู่บริเวณเอว โดยปกติแล้วไตทั้งสองข้างจะทำงานร่วมกัน แต่หากไตข้างใดข้างหนึ่งเสียหาย ร่างกายก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยไตข้างเดียว อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีไตข้างเดียวจำเป็นต้องดูแลสุขภาพไตอย่างใกล้ชิด รวมถึงตรวจเช็คสุขภาพไตและปัสสาวะเป็นประจำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต1

สาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังและผลกระทบต่อร่างกาย

โรคไตเรื้อรังมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้:

  • เบาหวาน เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง
  • โรคความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุอันดับสอง
  • โรคไตอักเสบเรื้อรัง
  • โรคนิ่วในไต รวมถึงนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะทั้งหมด ตั้งแต่ไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ

ผลกระทบของโรคไตเรื้อรังต่อร่างกาย:

  • อาการบวม: เกิดจากการสะสมของเกลือในร่างกาย ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น3 อาจพบอาการบวมที่ขา ตาตุ่ม หลังเท้า น่อง หนังตา และใบหน้า
  • ปัสสาวะผิดปกติ: อาจมีอาการปัสสาวะกลางคืน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ หรือมีสีเลือดปน
  • อาการปวด: อาจมีอาการปวดบริเวณเอวหรือหลัง เนื่องจากตำแหน่งของไตอยู่บริเวณด้านหลัง
  • อาการอื่นๆ: เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หน้าตาซีดเซียว อ่อนเพลีย ผิวแห้งคัน ผมร่วง หายใจหอบเหนื่อย ในระยะสุดท้ายอาจมีอาการเบื่ออาหาร ซึม ชัก หรือโคม่าได้
  • หัวใจทำงานหนัก: เนื่องจากน้ำส่วนเกินในร่างกายทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ความดันโลหิตสูงอาจควบคุมได้ยาก
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ: เกิดจากโพแทสเซียมในร่างกายสูง พบมากในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องฟอกเลือด

นอกจากสาเหตุหลัก ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้ เช่น:

  • การรับประทานอาหารเค็มและอาหารที่มีโซเดียมสูง
  • การรับประทานอาหารหวานและน้ำหนักตัวมาก
  • การไม่ออกกำลังกาย
  • การดื่มน้ำน้อย
  • การรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุดบางชนิด
  • การรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ปรึกษาแพทย์

การดูแลสุขภาพไต

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดอาหารเค็ม หวาน และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6-8 แก้ว
  • รับประทานยาเท่าที่จำเป็นและตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
  • ตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ

6 อาการสัญญาณเตือนโรคไต

  • ปัสสาวะขัด
  • ปัสสาวะกลางคืนบ่อย
  • ปัสสาวะสีน้ำตาลขุ่น
  • รอบตาหน้า และเท้า บวม
  • ปวดหลัง ปวดเอว
  • ความดันโลหิตสูง

ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง

ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง มีดังนี้:

  • โรคประจำตัว: โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง นอกจากนี้ โรคไตอักเสบเรื้อรัง และโรคนิ่วในไต รวมถึงนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้เช่นกัน
  • พฤติกรรมการบริโภค:

การรับประทานอาหารเค็ม: การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ทำให้ร่างกายสะสมเกลือ ส่งผลให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม และเป็นภาระต่อหัวใจ

การรับประทานอาหารหวาน: การรับประทานอาหารหวานมากเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก

การดื่มน้ำน้อย: การดื่มน้ำน้อย เพิ่มโอกาสในการเกิดนิ่วในไต และการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคไตอักเสบได้

  • การใช้ยาและอาหารเสริม:

การใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อไต

การรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุดบางชนิด: อาหารเสริม สมุนไพร และยาชุดบางชนิด อาจมีพิษต่อไต ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต:

การไม่ออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการเกิดโรคไตเรื้อรัง การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคไต

  • ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไต:

ภาวะเกลือแร่ผิดปกติ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง มักมีภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียม การควบคุมอาหารและการรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระดับเกลือแร่ในเลือด

ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง อาจมีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย การรักษาภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ จะช่วยชะลอการ progress ของโรคไต

  • การทำงานของไต:

การกรองของเสียลดลง: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง การทำงานของไตจะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้การกรองของเสียออกจากร่างกายลดลง ทำให้เกิดการสะสมของเสียในเลือด

การควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ผิดปกติ: นอกจากนี้ การทำงานของไตที่ลดลง ยังส่งผลให้การควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ อาจเกิดภาวะบวมน้ำ ความดันโลหิตสูง และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

การดูแลสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและชะลอการดำเนินโรคไตเรื้อรัง

อาการของโรคไตระยะเริ่มต้น

โรคไตระยะเริ่มต้นมักจะไม่แสดงอาการชัดเจน1 ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคไต จนกระทั่งโรคดำเนินไประยะหนึ่งแล้ว

การตรวจพบความผิดปกติเบื้องต้น สามารถทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อดูค่า creatinine ซึ่งเป็นของเสียในร่างกาย หาก creatinine สูงผิดปกติ แพทย์จะคำนวณเป็นค่าการทำงานของไตหรือ eGFR หาก eGFR น้อยกว่า 60 แสดงว่าการทำงานของไตผิดปกติ และอาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคไตระยะเริ่มต้น1 นอกจากนี้ อาจตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง หรือโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะหรือไม่

อาการที่อาจพบเมื่อโรคไตเริ่มรุนแรงขึ้น ได้แก่

  • บวม: เช่น บวมที่ขา ตาตุ่ม หลังเท้า น่อง หรือตื่นเช้ามาบวมที่ตาและใบหน้า
  • ปัสสาวะผิดปกติ: เช่น ปัสสาวะกลางคืนบ่อย ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ

อาการของโรคไตระยะสุดท้าย

โรคไตระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่ไตทำงานล้มเหลว ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดของเสียและของเหลวส่วนเกินออกไปได้ ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงกว่าโรคไตในระยะเริ่มต้น โดยอาการที่อาจพบได้ เช่น

  • อาการบวม: ผู้ป่วยจะมีอาการบวมทั่วร่างกาย เช่น บวมที่ขา ตาตุ่ม หลังเท้า น่อง และใบหน้า1 เกิดจากการที่ไตไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้
  • ปัสสาวะผิดปกติ: เช่น ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะไม่ออกเลย ปัสสาวะมีสีเลือดปน หรือมีสีเข้มคล้ายสีโค้ก ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ เกิดจากการที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด
  • อาการคลื่นไส้ อาเจียน: เกิดจากการสะสมของเสียในร่างกาย
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผิวแห้ง คัน ผมร่วง: เกิดจากการขาดสารอาหาร และการสะสมของเสียในเลือด
  • หายใจหอบเหนื่อย: เกิดจากภาวะน้ำท่วมปอด
  • เบื่ออาหาร กินข้าวไม่ได้: เกิดจากการสะสมของเสียในร่างกาย ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร
  • ชัก ซึม หรือโคม่า: เกิดจากการที่ของเสียในเลือดส่งผลต่อการทำงานของสมอง

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย

  • โพแทสเซียมในเลือดสูง: ไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โพแทสเซียมสะสมในเลือด หากโพแทสเซียมสูงเกินไป จะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • ความดันโลหิตสูง: เกิดจากการที่ไตไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้

การรักษาโรคไตระยะสุดท้าย

  • การฟอกเลือด: เป็นการใช้เครื่องมือเพื่อกำจัดของเสียและของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย ทดแทนการทำงานของไต
  • การปลูกถ่ายไต: เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เสียหาย ด้วยไตใหม่จากผู้บริจาค

แนวทางการดูแลสุขภาพไต

การดูแลสุขภาพไตสามารถทำได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้

  • การรับประทานอาหาร:

ลดการบริโภคอาหารรสเค็ม: การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ส่งผลให้ร่างกายสะสมเกลือและกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม และเป็นภาระต่อหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป และอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย และนมกรุบกรอบ

ควบคุมการบริโภคน้ำตาล: การรับประทานอาหารหวานมากเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: แต่ควรปรับเปลี่ยนปริมาณอาหารในแต่ละหมู่ให้เหมาะสมกับระยะของโรคไต โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ถึงระยะที่ 5 ควบคุมปริมาณโซเดียม น้ำ และเกลือแร่ รวมถึงสารอาหารอื่นๆ

จำกัดปริมาณโพแทสเซียม: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ควรจำกัดการบริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม น้ำมะพร้าว และผลไม้แห้ง เนื่องจากโพแทสเซียมที่สูงเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

จำกัดปริมาณน้ำ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ร่างกายจะมีความสามารถในการขับน้ำออกจากร่างกายลดลง จึงควรจำกัดปริมาณน้ำดื่มไม่เกินวันละ 1 ลิตร

  • การใช้ยาและอาหารเสริม:

ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน: ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อไต

ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุด: อาหารเสริม สมุนไพร และยาชุดบางชนิด อาจมีพิษต่อไต

  • การออกกำลังกาย:

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิตอื่นๆ:

ดื่มน้ำให้เพียงพอ: อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ควรจำกัดปริมาณน้ำดื่มไม่เกินวันละ 1 ลิตร

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ โดยเฉพาะการตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง หรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะหรือไม่ รวมถึงการตรวจเลือด เพื่อวัดระดับ creatinine ซึ่งเป็นของเสียในร่างกาย หาก creatinine สูงผิดปกติ แพทย์จะคำนวณค่าการทำงานของไต (eGFR) หาก eGFR น้อยกว่า 60 แสดงว่าการทำงานของไตผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นโรคไตระยะเริ่มต้น แม้ว่าจะยังไม่มีอาการ

การดูแลสุขภาพไตเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคไตได้

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคไต

ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดเพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง แบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้

  • อาหารที่มีรสเค็ม: อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย นมกรุบกรอบ เป็นต้น เนื่องจากโซเดียมทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ และอาจทำให้ความดันโลหิตสูงจนควบคุมได้ยาก
  • อาหารที่มีรสหวาน: การรับประทานอาหารหวานมากเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
  • อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย (ระยะที่ 5) ซึ่งเป็นระยะที่ต้องฟอกเลือด ควรจำกัดปริมาณโพแทสเซียม เนื่องจากไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีโพแทสเซียมสะสมในร่างกายมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่

○กล้วย

○ส้ม

○น้ำมะพร้าว

○ผลไม้แห้งทุกชนิด เช่น ลูกเกด

  • อาหารเสริม สมุนไพร และยาชุด: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร และยาชุดทุกชนิด เนื่องจากบางชนิดอาจมีพิษต่อไต

แนวทางการรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต

ผู้ป่วยโรคไตควรรับประทานอาหารอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยมีคำแนะนำดังนี้

หลักการทั่วไป

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: ผู้ป่วยโรคไตยังคงต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แต่ควรปรับเปลี่ยนปริมาณอาหารในแต่ละหมู่ให้เหมาะสมกับระยะของโรค
  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อรับคำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสภาวะของโรค

ข้อควรปฏิบัติ

  • ลดปริมาณโซเดียม: หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย นมกรุบกรอบ เนื่องจากโซเดียมทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ และอาจทำให้ความดันโลหิตสูง
  • ควบคุมปริมาณโพแทสเซียม: โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย (ระยะที่ 5) ควรจำกัดการบริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม น้ำมะพร้าว และผลไม้แห้งทุกชนิด เนื่องจากโพแทสเซียมที่สูงเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ควบคุมปริมาณน้ำ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ร่างกายจะมีความสามารถในการขับน้ำออกจากร่างกายลดลง จึงควรจำกัดปริมาณน้ำดื่มไม่เกินวันละ 1 ลิตร
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่ยังไม่ถึงระยะสุดท้าย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หลีกเลี่ยงอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุด: เว้นแต่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากบางชนิดอาจมีพิษต่อไต

หมายเหตุ: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคไตในระยะที่ 1-4 อย่างละเอียด ดังนั้น การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะของโรค

สรุป:
โรคไตเป็นปัญหาสุขภาพที่อาจเริ่มต้นจากอาการเล็กน้อย แต่หากละเลย อาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรง การใส่ใจสัญญาณเตือนโรค พร้อมการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมและการพบแพทย์เมื่อจำเป็น จะช่วยป้องกันและรักษาไตให้แข็งแรงได้ในระยะยาว!

หากท่านกำลังกังวลเรื่องการดูแลผู้ป่วยพักฟื้น ผู้สูงอายุ การกายภาพบำบัด การจัดกิจกรรมบำบัด การชะลอความเสื่อม ให้ ไอแคร์ เวลเนส จำกัด สามารถช่วยท่านดูแล ได้ทั้งระยะสั้น และระยะยาวค่ะ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์)

 สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000

 MAP : https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8

 สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000

 MAP : https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9

*********************************

ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ

 ไอแคร์ เวเนส จำกัด
 ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร : 066-112-9500
 ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care

 โทร : 066-109-4500

 Line : @icare-nursing (มี@)

อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care  #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #อุบลราชธานี #ผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลสุขภาพ #ผู้ช่วยพยาบาล #อำนาจเจริญ #ยโสธร #ศรีสะเกษ #ดูแลผู้สูงอายุ #เนอร์สซิ่งโฮม #ประกันสุขภาพ #โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ #อุบลรักษ์ #โรงพยาบาลพริ้นซ์อุบลราชธานี #โรงพยาบาลราชเวช #ไอแคร์ #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกช่วงวัย #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ #ดูแลผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลคนชรา #ดูแลคนแก่ #ดูแลผู้ป่วยพักฟื้น #ห้องพักฟื้น #กิจกรรมบำบัด