บทบาทสำคัญของไตในร่างกาย
ไตทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย1 ไตมีส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกาย ดังนี้:
- ควบคุมปริมาณน้ำและแร่ธาตุ: ไตทำหน้าที่กรองเลือดและควบคุมปริมาณน้ำและแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียม ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากร่างกายมีเกลือสะสมมากเกินไปจะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น เกิดอาการบวม และส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก ส่วนโพแทสเซียมที่สูงเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย
- ขับของเสีย: ไตทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร รวมถึงยาบางชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ
- ควบคุมความดันโลหิต: ไตมีบทบาทในการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- สร้างเม็ดเลือดแดง: ไตผลิตฮอร์โมน Erythropoietin ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก
- รักษาสมดุลกรด-เบส: ไตช่วยรักษาสมดุลกรด-เบสในเลือด ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ไตทั้งสองข้างตั้งอยู่บริเวณเอว โดยปกติแล้วไตทั้งสองข้างจะทำงานร่วมกัน แต่หากไตข้างใดข้างหนึ่งเสียหาย ร่างกายก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยไตข้างเดียว อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีไตข้างเดียวจำเป็นต้องดูแลสุขภาพไตอย่างใกล้ชิด รวมถึงตรวจเช็คสุขภาพไตและปัสสาวะเป็นประจำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต1
สาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังและผลกระทบต่อร่างกาย
โรคไตเรื้อรังมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้:
- เบาหวาน เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง
- โรคความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุอันดับสอง
- โรคไตอักเสบเรื้อรัง
- โรคนิ่วในไต รวมถึงนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะทั้งหมด ตั้งแต่ไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ
ผลกระทบของโรคไตเรื้อรังต่อร่างกาย:
- อาการบวม: เกิดจากการสะสมของเกลือในร่างกาย ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น3 อาจพบอาการบวมที่ขา ตาตุ่ม หลังเท้า น่อง หนังตา และใบหน้า
- ปัสสาวะผิดปกติ: อาจมีอาการปัสสาวะกลางคืน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ หรือมีสีเลือดปน
- อาการปวด: อาจมีอาการปวดบริเวณเอวหรือหลัง เนื่องจากตำแหน่งของไตอยู่บริเวณด้านหลัง
- อาการอื่นๆ: เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หน้าตาซีดเซียว อ่อนเพลีย ผิวแห้งคัน ผมร่วง หายใจหอบเหนื่อย ในระยะสุดท้ายอาจมีอาการเบื่ออาหาร ซึม ชัก หรือโคม่าได้
- หัวใจทำงานหนัก: เนื่องจากน้ำส่วนเกินในร่างกายทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ความดันโลหิตสูงอาจควบคุมได้ยาก
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ: เกิดจากโพแทสเซียมในร่างกายสูง พบมากในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องฟอกเลือด
นอกจากสาเหตุหลัก ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้ เช่น:
- การรับประทานอาหารเค็มและอาหารที่มีโซเดียมสูง
- การรับประทานอาหารหวานและน้ำหนักตัวมาก
- การไม่ออกกำลังกาย
- การดื่มน้ำน้อย
- การรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุดบางชนิด
- การรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ปรึกษาแพทย์
การดูแลสุขภาพไต
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดอาหารเค็ม หวาน และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6-8 แก้ว
- รับประทานยาเท่าที่จำเป็นและตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
- ตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ
6 อาการสัญญาณเตือนโรคไต
- ปัสสาวะขัด
- ปัสสาวะกลางคืนบ่อย
- ปัสสาวะสีน้ำตาลขุ่น
- รอบตาหน้า และเท้า บวม
- ปวดหลัง ปวดเอว
- ความดันโลหิตสูง
ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง
ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง มีดังนี้:
- โรคประจำตัว: โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง นอกจากนี้ โรคไตอักเสบเรื้อรัง และโรคนิ่วในไต รวมถึงนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้เช่นกัน
- พฤติกรรมการบริโภค:
○การรับประทานอาหารเค็ม: การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ทำให้ร่างกายสะสมเกลือ ส่งผลให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม และเป็นภาระต่อหัวใจ
○การรับประทานอาหารหวาน: การรับประทานอาหารหวานมากเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
○การดื่มน้ำน้อย: การดื่มน้ำน้อย เพิ่มโอกาสในการเกิดนิ่วในไต และการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคไตอักเสบได้
- การใช้ยาและอาหารเสริม:
○การใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อไต
○การรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุดบางชนิด: อาหารเสริม สมุนไพร และยาชุดบางชนิด อาจมีพิษต่อไต ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต:
○การไม่ออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการเกิดโรคไตเรื้อรัง การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคไต
- ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไต:
○ภาวะเกลือแร่ผิดปกติ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง มักมีภาวะเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียม การควบคุมอาหารและการรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระดับเกลือแร่ในเลือด
○ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง อาจมีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย การรักษาภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ จะช่วยชะลอการ progress ของโรคไต
- การทำงานของไต:
○การกรองของเสียลดลง: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง การทำงานของไตจะค่อย ๆ ลดลง ส่งผลให้การกรองของเสียออกจากร่างกายลดลง ทำให้เกิดการสะสมของเสียในเลือด
○การควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ผิดปกติ: นอกจากนี้ การทำงานของไตที่ลดลง ยังส่งผลให้การควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ อาจเกิดภาวะบวมน้ำ ความดันโลหิตสูง และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
การดูแลสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและชะลอการดำเนินโรคไตเรื้อรัง
อาการของโรคไตระยะเริ่มต้น
โรคไตระยะเริ่มต้นมักจะไม่แสดงอาการชัดเจน1 ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคไต จนกระทั่งโรคดำเนินไประยะหนึ่งแล้ว
การตรวจพบความผิดปกติเบื้องต้น สามารถทำได้โดยการตรวจเลือดเพื่อดูค่า creatinine ซึ่งเป็นของเสียในร่างกาย หาก creatinine สูงผิดปกติ แพทย์จะคำนวณเป็นค่าการทำงานของไตหรือ eGFR หาก eGFR น้อยกว่า 60 แสดงว่าการทำงานของไตผิดปกติ และอาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคไตระยะเริ่มต้น1 นอกจากนี้ อาจตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง หรือโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะหรือไม่
อาการที่อาจพบเมื่อโรคไตเริ่มรุนแรงขึ้น ได้แก่
- บวม: เช่น บวมที่ขา ตาตุ่ม หลังเท้า น่อง หรือตื่นเช้ามาบวมที่ตาและใบหน้า
- ปัสสาวะผิดปกติ: เช่น ปัสสาวะกลางคืนบ่อย ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ
อาการของโรคไตระยะสุดท้าย
โรคไตระยะสุดท้าย เป็นภาวะที่ไตทำงานล้มเหลว ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดของเสียและของเหลวส่วนเกินออกไปได้ ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงกว่าโรคไตในระยะเริ่มต้น โดยอาการที่อาจพบได้ เช่น
- อาการบวม: ผู้ป่วยจะมีอาการบวมทั่วร่างกาย เช่น บวมที่ขา ตาตุ่ม หลังเท้า น่อง และใบหน้า1 เกิดจากการที่ไตไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้
- ปัสสาวะผิดปกติ: เช่น ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะไม่ออกเลย ปัสสาวะมีสีเลือดปน หรือมีสีเข้มคล้ายสีโค้ก ปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ เกิดจากการที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน: เกิดจากการสะสมของเสียในร่างกาย
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ผิวแห้ง คัน ผมร่วง: เกิดจากการขาดสารอาหาร และการสะสมของเสียในเลือด
- หายใจหอบเหนื่อย: เกิดจากภาวะน้ำท่วมปอด
- เบื่ออาหาร กินข้าวไม่ได้: เกิดจากการสะสมของเสียในร่างกาย ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร
- ชัก ซึม หรือโคม่า: เกิดจากการที่ของเสียในเลือดส่งผลต่อการทำงานของสมอง
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย
- โพแทสเซียมในเลือดสูง: ไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โพแทสเซียมสะสมในเลือด หากโพแทสเซียมสูงเกินไป จะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ความดันโลหิตสูง: เกิดจากการที่ไตไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้
การรักษาโรคไตระยะสุดท้าย
- การฟอกเลือด: เป็นการใช้เครื่องมือเพื่อกำจัดของเสียและของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย ทดแทนการทำงานของไต
- การปลูกถ่ายไต: เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เสียหาย ด้วยไตใหม่จากผู้บริจาค
แนวทางการดูแลสุขภาพไต
การดูแลสุขภาพไตสามารถทำได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้
- การรับประทานอาหาร:
○ลดการบริโภคอาหารรสเค็ม: การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ส่งผลให้ร่างกายสะสมเกลือและกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม และเป็นภาระต่อหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป และอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย และนมกรุบกรอบ
○ควบคุมการบริโภคน้ำตาล: การรับประทานอาหารหวานมากเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
○รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: แต่ควรปรับเปลี่ยนปริมาณอาหารในแต่ละหมู่ให้เหมาะสมกับระยะของโรคไต โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ถึงระยะที่ 5 ควบคุมปริมาณโซเดียม น้ำ และเกลือแร่ รวมถึงสารอาหารอื่นๆ
○จำกัดปริมาณโพแทสเซียม: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ควรจำกัดการบริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม น้ำมะพร้าว และผลไม้แห้ง เนื่องจากโพแทสเซียมที่สูงเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
○จำกัดปริมาณน้ำ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ร่างกายจะมีความสามารถในการขับน้ำออกจากร่างกายลดลง จึงควรจำกัดปริมาณน้ำดื่มไม่เกินวันละ 1 ลิตร
- การใช้ยาและอาหารเสริม:
○ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน: ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อไต
○ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุด: อาหารเสริม สมุนไพร และยาชุดบางชนิด อาจมีพิษต่อไต
- การออกกำลังกาย:
○ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตอื่นๆ:
○ดื่มน้ำให้เพียงพอ: อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ควรจำกัดปริมาณน้ำดื่มไม่เกินวันละ 1 ลิตร
○ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ โดยเฉพาะการตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง หรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะหรือไม่ รวมถึงการตรวจเลือด เพื่อวัดระดับ creatinine ซึ่งเป็นของเสียในร่างกาย หาก creatinine สูงผิดปกติ แพทย์จะคำนวณค่าการทำงานของไต (eGFR) หาก eGFR น้อยกว่า 60 แสดงว่าการทำงานของไตผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นโรคไตระยะเริ่มต้น แม้ว่าจะยังไม่มีอาการ
การดูแลสุขภาพไตเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคไตได้
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคไต
ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดเพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง แบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้
- อาหารที่มีรสเค็ม: อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย นมกรุบกรอบ เป็นต้น เนื่องจากโซเดียมทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ และอาจทำให้ความดันโลหิตสูงจนควบคุมได้ยาก
- อาหารที่มีรสหวาน: การรับประทานอาหารหวานมากเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
- อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย (ระยะที่ 5) ซึ่งเป็นระยะที่ต้องฟอกเลือด ควรจำกัดปริมาณโพแทสเซียม เนื่องจากไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีโพแทสเซียมสะสมในร่างกายมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่
○กล้วย
○ส้ม
○น้ำมะพร้าว
○ผลไม้แห้งทุกชนิด เช่น ลูกเกด
- อาหารเสริม สมุนไพร และยาชุด: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริม สมุนไพร และยาชุดทุกชนิด เนื่องจากบางชนิดอาจมีพิษต่อไต
แนวทางการรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต
ผู้ป่วยโรคไตควรรับประทานอาหารอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของไตและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยมีคำแนะนำดังนี้
หลักการทั่วไป
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: ผู้ป่วยโรคไตยังคงต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แต่ควรปรับเปลี่ยนปริมาณอาหารในแต่ละหมู่ให้เหมาะสมกับระยะของโรค
- ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ: เพื่อรับคำแนะนำในการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสภาวะของโรค
ข้อควรปฏิบัติ
- ลดปริมาณโซเดียม: หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กซอง โจ๊กถ้วย นมกรุบกรอบ เนื่องจากโซเดียมทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ เกิดอาการบวม เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ และอาจทำให้ความดันโลหิตสูง
- ควบคุมปริมาณโพแทสเซียม: โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย (ระยะที่ 5) ควรจำกัดการบริโภคอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม น้ำมะพร้าว และผลไม้แห้งทุกชนิด เนื่องจากโพแทสเซียมที่สูงเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ควบคุมปริมาณน้ำ: ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ร่างกายจะมีความสามารถในการขับน้ำออกจากร่างกายลดลง จึงควรจำกัดปริมาณน้ำดื่มไม่เกินวันละ 1 ลิตร
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่ยังไม่ถึงระยะสุดท้าย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงอาหารเสริม สมุนไพร ยาชุด: เว้นแต่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากบางชนิดอาจมีพิษต่อไต
หมายเหตุ: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคไตในระยะที่ 1-4 อย่างละเอียด ดังนั้น การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะของโรค
สรุป:
โรคไตเป็นปัญหาสุขภาพที่อาจเริ่มต้นจากอาการเล็กน้อย แต่หากละเลย อาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรง การใส่ใจสัญญาณเตือนโรค พร้อมการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมและการพบแพทย์เมื่อจำเป็น จะช่วยป้องกันและรักษาไตให้แข็งแรงได้ในระยะยาว!
หากท่านกำลังกังวลเรื่องการดูแลผู้ป่วยพักฟื้น ผู้สูงอายุ การกายภาพบำบัด การจัดกิจกรรมบำบัด การชะลอความเสื่อม ให้ ไอแคร์ เวลเนส จำกัด สามารถช่วยท่านดูแล ได้ทั้งระยะสั้น และระยะยาวค่ะ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์)
สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8
สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9
*********************************
ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ
ไอแคร์ เวเนส จำกัด
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร : 066-112-9500
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care
โทร : 066-109-4500
Line : @icare-nursing (มี@)
อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #อุบลราชธานี #ผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลสุขภาพ #ผู้ช่วยพยาบาล #อำนาจเจริญ #ยโสธร #ศรีสะเกษ #ดูแลผู้สูงอายุ #เนอร์สซิ่งโฮม #ประกันสุขภาพ #โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ #อุบลรักษ์ #โรงพยาบาลพริ้นซ์อุบลราชธานี #โรงพยาบาลราชเวช #ไอแคร์ #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกช่วงวัย #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ #ดูแลผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลคนชรา #ดูแลคนแก่ #ดูแลผู้ป่วยพักฟื้น #ห้องพักฟื้น #กิจกรรมบำบัด