ไตวาย (Kidney Failure, Renal Failure)
คือ ภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่าย มึนงง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการบวมที่ขาหรือเท้า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถขับของเสียและน้ำออกมาผ่านทางปัสสาวะได้ จึงทำให้เกิดของเสียและน้ำตกค้างในร่างกายมากเกินความจำเป็น
อาการของโรคไตวายโรคไตวาย
ด้วยเหตุที่โรคไตมีหลายชนิด อาการของผู้ป่วยจึงมีความแตกต่างกันไป และโรคไตยังสามารถแบ่งแยกย่อยได้อีกตามลักษณะอาการและตำแหน่งที่มีปัญหา อย่างเช่น กรวยไตอักเสบ ไตวายเรื้อรัง ไตวายเฉียบพลัน เนื้อเยื่อไตอักเสบ และนิ่วในไต เป็นต้นแต่ถ้าพูดถึงอาการโรคไต จะมีกลุ่มอาการ 2 ชนิดที่พบมากที่สุด ได้แก่ ไตวายเฉียบพลัน และไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการไตวายเรื้อรังนั้น ทางการแพทย์ถือว่าเป็นฆาตรกรเงียบเลยทีเดียว เนื่องจากโรคนี้มักจะไม่แสดงอาการในช่วงแรกเริ่ม แต่จะเริ่มมีอาการเมื่อตอนที่ไตเสียหายไปพอสมควรแล้ว
รู้จักอาการโรคไตที่พบบ่อย
เนื่องด้วยสาเหตุที่เป็นโรคไตมีหลายชนิด อาการโรคไตของผู้ป่วยแต่ละคน จึงมีลักษณะแตกต่างกัน ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงกลุ่มอาการ 2 ชนิดที่พบมากที่สุด ได้แก่ โรคไตวายเฉียบพลัน และ โรคไตวายเรื้อรัง
ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Failure หรือ Acute Renal Failure)
คือ ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือเป็นสัปดาห์ เกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น เกิดภาวะช็อกจากการเสียน้ำหรือเลือดเป็นจำนวนมาก การติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง หรือได้รับสารพิษหรือผลข้างเคียงจากยา ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงตั้งแต่เริ่มแรกทั้งๆที่ไตยังไม่เสื่อม เช่น ผู้ป่วยจะมีอาการบวม ปัสสาวะสีน้ำล้างเนื้อ ตรวจปัสสาวะจะพบเม็ดโลหิตแดง และโปรตีนไข่ขาวปนออกมาในปัสสาวะด้วย และหากตรวจวัดความดันโลหิตจะพบว่ามีความดันโลหิตสูงผิดปกติ อาการผิดปกติเหล่านี้จะแสดงออกมาให้เห็นในระยะแรกๆ ตั้งแต่เริ่มเป็น ภาวะไตวายเฉียบพลันมีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่หากมาพบแพทย์และรักษาอย่างทันท่วงที เนื้อไตและการทำงานของไตก็อาจสามารถกลับฟื้นคืนเป็นปกติได้เช่นกัน
ไตวายเฉียบพลันเกิดจากอะไร
- ความดันโลหิตต่ำหรือสูงเกินไป
- ยาหรือสารพิษ
- การอุดกั้งของทางเดินปัสสาวะ เช่นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งปากมดลูก
- ภาวะไตอักเสบหรือการติดเชื้อ
อาการของไตวายเฉียบพลัน
- มีอาการบวมน้ำหรือขาดน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือมีสีผิดปกติ
- เหนื่อยง่าย รู้สึกหวิวๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- กล้ามเนื้อเป็นตะคริวตอนกลางคืน
- น้ำท่วมปอด
- มีภาวะซีด เลือดจางข้อสังเกต : อาการเหล่านี้เกิดภายในชั่วโมง วัน หรือสัปดาห์ ถ้ารักษาทันเวลาไตจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้
เมื่อรู้จักแล้วว่าได้วายเฉียบพลันนั้นเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง แต่ความเสี่ยก็ไม่ได้หายไปไหนเพราะเมื่อมีอาการแล้วต้องรีบพบแพทย์ในทันที
- ปัสสาวะน้อยกว่า 400 CC ต่อวัน นั้นคือการปัสสาวะที่น้อยกว่าปกติ 3 เท่า
- มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน เพราะมียูเรียและสาร มีที่ไนโตเจนเป็นองค์ประกอบคั่งค้างในสมอง
- แขนขาบวมน้ำ เหนื่อยง่าย หรืออ่อนเพลีย เนื่องจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- มีอาการอื่นๆ นอกเหรชนือจากข้างต้น เช่น ปวดชายโครง ผื่นขึ้นเป็นต้น
ไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease, CKD, Chronic Kidney Failure หรือ Chronic Renal Failure)
คือ เนื้อไตจะถูกทำลายไปทีละน้อยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาแรมเดือน แรมปี เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ เช่น โรคไตที่เกิดจากเบาหวาน โรคไตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง โรคไตที่เกิดจากเกาท์ ฯลฯ ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็นเลยโดยผู้ป่วยจะมีความเป็นอยู่ ดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติทุกอย่างเป็นเวลาหลายๆ ปี ระหว่างนี้ถ้าผู้ป่วยมาตรวจร่างกาย แพทย์ก็อาจจะไม่พบความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นถ้าตรวจปัสสาวะจะพบเม็ดเลือดแดงและโปรตีนไข่ขาวปนออกมาในปัสสาวะด้วย จนในที่สุดการทำงานของไตเหลือเพียงร้อยละ 25 หรือหนึ่งในสี่ของปกติ จะเริ่มมีอาการโรคไตแสดงออกมาให้เห็นบ้าง และถ้าการทำงานของไตเสื่อมลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 10 ของปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงออกมาชัดเจนทุกราย อาการจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกันในคราวเดียว แต่จะค่อย ๆ แสดงอาการออกมาเป็นระยะ โดยระยะของไตวายเรื้อรังจะถูกแบ่งเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินการทำงานของไต (Estimated Glomerular Filtration Rate – eGFR) หรือค่าที่ประมาณว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไหร่ ซึ่งคนปกติทั่วไปจะมีค่าประเมินการทำงานของไตอยู่ที่มากกว่า 90 มิลลิลิตรต่อนาที (ml/min)
อาการของไตวายเรื้อรัง
- เพลีย เหนื่อยหอบ
- ปัสสาวะน้อยมาก
- อาการบวม กดบุ๋มลง
- คันตามตัว5.เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- หมดสติ เสียชีวิตข้อสังเกต : ไตเริ่มสูญเสียการทำงานทีละน้อยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลักเดือนหรือปี ไม่สามารถรักษาให้ไตกลับมาเป็นปกติได้
1. ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไตวายเรื้อรังหมายถึงผู้ป่วยที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งจาดสองข้อต่อไปนี้ที่ผู้เขียนจะอภิบาย
ผู้ป่วยที่มีภาวะไตผิดปกตินานติดต่อกันเกิน 3 เดือน ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอัตรากรองของไต
(glomerularfiltration rate, GFR) ผิดปกติหรือไม่ก็ได้ ภาวะไตผิดปกติ หมายถึง มีลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ มากจะตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจปัสสาวะอย่างน้อย 2 ครั้ง ในระยะเวลา 3 เดือนดังต่อไปนี้
- ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ
- ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และตรวจพบ microalbuminuria
- ถ้าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคเบาหวานและตรวจพบ proteinuria มากกว่า 500 mgต่อวัน หรือมากกว่า 500 mg/g creatinine
- ตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ (hematuria)
- ตรวจพบความผิดปกติทางรังสีวิทยา
2. ตรวจพบความผิดปกติทางโครงสร้างหรือพยาธิสภาพ ๐ ผู้ป่วยที่มี GFR น้อยกว่า 60 m/min/1.73m ติดต่อกันเกิน 3 เดือน โดยที่อาจจะตรวจพบหรือไม่พบว่า มีร่องรอยของไตผิดปกติก็ได้

ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจำต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปรับการบริโภคอาหาร เพื่อชะลอความเสื่อมและลดโอกาสการดำเนินโรคเร็วกว่าที่ควรจะเป็น โดยสามารถปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารตามระยะโรคได้ดังนี้
- ไตเรื้อรังระยะที่ 1 ในช่วงแรกของอาการไตวายเรื้อรังจะไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัดเจน ค่าการทำงานของไตในระยะแรกจะอยู่คงที่ประมาณ 90 มิลลิลิตรต่อนาทีขึ้นไป แต่อาจพบไตอักเสบหรือพบภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในปัสสาวะ
ปรับพฤติกรรม : ควรงดสูบบุหรี่ รักษาหรือควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรัง
- ไตเรื้อรังระยะที่ 2 เป็นระยะที่การทำงานของไตเริ่มลดลง แต่มักจะยังไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็นนอกจากการตรวจค่าการทำงานของไต ซึ่งค่าการทำงานของไตจะเหลือเพียง 60–89 มิลลิลิตรต่อนาที
ปรับพฤติกรรม : ผู้ป่วยต้องลดอาหารเค็ม
- ไตเรื้อรังระยะที่ 3 ระยะนี้จะแบ่งออกเป็นอีก 2 ระยะย่อย คือ 3A และ 3B ตามค่าการทำงานของไต โดย 3A จะมีค่าการทำงานของไตอยู่ที่ 45–59 มิลลิลิตรต่อนาที ส่วน 3B จะอยู่ที่ 30–44 มิลลิลิตรต่อนาที ซึ่งในระยะที่ 3 ก็มักจะยังไม่มีอาการใด ๆ สำแดงให้เห็น นอกจากค่าการทำงานของไตที่ทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง
ปรับพฤติกรรม : ผู้ป่วยต้องจำกัดอาหารประเภทโปรตีน
- ไตเรื้อรังระยะที่ 4 อาการต่าง ๆ มักจะแสดงในระยะนี้ นอกจากค่าการทำงานของไตจะลดลงเหลือเพียง 15–29 มิลลิลิตรต่อนาทีแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการมึนงง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวแห้งและคัน กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยขึ้น อาจมีอาการบวมน้ำที่ตามข้อ ขา และเท้า ใต้ตาคล้ำ ปวดปัสสาวะบ่อยแต่ปริมาณปัสสาวะน้อยลง มีภาวะโลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวตลอดเวลา
ปรับพฤติกรรม : ผู้ป่วยต้องจำกัดการรับประทานผลไม้
- ไตเรื้อรังระยะที่ 5 เป็นระยะสุดท้ายของภาวะไตวาย ค่าการทำงานของไตจะลดลงเหลือน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาที นอกจากอาการจะคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว อาจมีภาวะโลหิตจางที่รุนแรงขึ้น และอาจมีการตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารต่าง ๆ ที่อยู่ในเลือด นำมาสู่ภาวะกระดูกบางและเปราะหักง่าย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้
ปรับพฤติกรรม : ต้องรักษาด้วยการฟอกไตหรือผ่าตัดปลูกถ่ายไต เพื่อให้ไตทำงานได้ดีขึ้น
ปัจจุบันการฟอกไตและผ่าตัดปลูกถ่ายไตมีความปลอดภัย รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อเกิดภาวะไตวาย ของเสียและน้ำจะคั่งค้างอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ผิวแห้ง คัน กล้ามเนื้อเป็นตะคริวตอนกลางคืน ปัสสาวะลดลง ตัวบวม ตาบวม น้ำท่วมปอด หายใจไม่ถนัด นอนราบไม่ได้ ความดันโลหิตสูง มีภาวะซีด เลือดจาง และอาจถึงขั้นหมดสติและเสียชีวิตได้
การตรวจวินิจฉัยอาการไตวาย
- ตรวจปัสสาวะ ถ้ามีภาวะผิดปกติของไต ปัสสาวะจะมีโปรตีนและเม็ดเลือดแดงปนมากับปัสสาวะ
- ตรวจเลือด ถ้ามีภาวะผิดปกติของไต ปริมาณไนโตรเจน กรดยูริก (Blood Nitrogen Urea, BUN) และ ครีเอตินิน (Creatinine, Cr) ที่เป็นของเสียจากกล้ามเนื้อจะตกค้างในเลือดสูงกว่าปกติ แพทย์จะนำผลเลือดที่ได้นี้มาใช้ในการประเมินค่าการทำงานของไตหรือ GFR (glomerular filtration rate) ในลำดับต่อไป
- การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และ การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan) ถ้ามีความผิดปกติของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ แพทย์จะสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนร่วมกับการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ
สาเหตุของโรคไตวาย
ไตวายสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลเสียต่อไตโดยตรงหรือส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่น ๆ จนทำให้ไตเกิดการทำงานที่ผิดปกติตามไป โดยสาเหตุของไตวายทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังที่พบได้บ่อยมีดังนี้
- การสูญเสียเลือดหรือน้ำในร่างกายมากเกินไป ส่งผลให้ไตเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงานลงอย่างเฉียบพลัน
- ความดันโลหิตสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดที่ไหลเวียนเลือดไปที่ไตผิดปกติ หากมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นสาเหตุหนึ่งให้ไตเสื่อมได้ในที่สุด
- โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลต่อไตทำให้ไตเสื่อม ผู้ป่วยเบาหวานจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นไตวายเรื้อรัง
- อาการแพ้อย่างรุนแรง ทำให้ระบบการทำงานในร่างกายล้มเหลว ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต
- การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลวอย่างหัวใจวาย หัวใจล้มเหลว ตับล้มเหลว ซึ่งกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย ทำให้ไตได้รับเลือดไปไหลเวียนไม่เพียงพอ
- การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด เมื่อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด เชื้อโรคเหล่านี้จะถูกพาไปยังไต ทำให้ไตถูกทำลาย
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยานาพรอกเซน (Naproxen) หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป หรือซื้อใช้เองโดยไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร อาจนำมาสู่ภาวะไตเสื่อม
- ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ลิ่มเลือดอุดตันในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย นิ่วในไต หรือโรคมะเร็ง ส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อหรือการอุดตันจนขัดขวางระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ไตขับปัสสาวะออกมาไม่ได้ และเกิดภาวะเสื่อมของไตในที่สุด
- ได้รับสารพิษสู่ร่างกาย ร่างกายจึงพยายามขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น และสารพิษบางชนิดอาจทำลายไตจนทำให้ไตวายได้
- นอกจากจากนี้ โรคไตวายอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่าง ๆ อย่างโรคไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก เกิดจากอุบัติเหตุโดยตรงที่บริเวณไต รวมถึงความเสื่อมของไตตามอายุก็อาจทำให้เกิดภาวะไตวายได้เช่นกัน
การควบคุมไตวายที่สาเหตุ
เบาหวาความดันมักเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดสะภาไตวายมากถึง 70 % เราสามาถควบคุมและดูแลรักษาภาวะไตวายได้ดังต่อไปนี้
- เบาหวาน
คุมน้ำตาลในเลือดให้ HbA1C<7.0 งดอาหารรสหวาน ควบคุมน้ำหนัก รับประทานยาเป็นประจำตามที่แพทย์สั่งห้ามขาด
- ความดัน
ควบคุมความดัน งดอาหารรสจัดรสเค็มงดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด และไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งห้ามขาด
อาจจะมีหลายสาเหตุแต่สาเหตุหลักๆนั้น 70% มาจากโรคประจำตัวที่เรียกว่า ความดันและเบาหวาน เรามาทำความรู้จักกับสาตุอื่นๆกันบ้าง การรักษาโรคไตตามสาเหตุอื่นๆ เช่นโรคไตอักเสบจากภมิคุ้มกันโรค SLE โรคถุงน้ำดีที่ไต โรคนิ่วในไตการได้รับสารพิษหรือยาที่มีปัญหากับไต
ไตวายระยะสุดท้าย
- ฟอกเลือดทางเส้นเลือดและหน้าท้อง
- ผ่าตัดปลุกถ่ายไตเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
เหตุผลที่ต้องตรวจคัดกรองโรคไตเพื่อการป้องกันการเกิดภาวะไตวาย
การตรวจคัดกรองการเกิดโรคไตเป็นการป้องกันก่อนการเกิดโรคที่ดีที่สุด หากพบความเสี่ยงของการเกิดโรคตั้งแต่ยังไม่เกิดโรค จะได้รีบป้องกันอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงลง หากพบว่าเป็นโรคไตแล้ว การรักษาตั้งแต่แรกสามารถชะลอความเสื่อมของไตได้ดีกว่าการรักษาเมื่อโรคเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว และการชะลอความเสื่อมของไตตั้งแต่ระยะแรกๆ ของโรค จะช่วยป้องกันหรือยืดระยะเวลาการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรค และความจำเป็นในการบำบัดทดแทนไตได้
ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองโรคไต
โรคไตเรื้อรังเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย จึงควรได้รับการตรวจในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ดังนี้
- ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเก๊าต์ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
- ผู้ที่สูบบุหรี่ประจำ หรือมีประวัติสูบบุหรี่มานาน
- ผู้ได้รับยาสมุนไพร หรือสารพิษที่มีผลทำลายไตเป็นประจำ
- ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไตเรื้อรังผู้ที่มีอาการ ได้แก่ ใบหน้า ตัว หรือเท้าบวม ปวดหลัง ปวดเอว ปัสสาวะบ่อย แสบขัด มีเลือดปน หรือมีฟองผิดปกติ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตรวจพบความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และอายุเกิน 40 ปี
- ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
สำหรับกลุ่มเสี่ยง แพทย์แนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไตและพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคไต ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสมในการป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไตได้ เพราะยิ่งรู้ทันโรคและรีบรักษาตั้งแต่เป็นในระยะแรกๆ ก็มีโอกาสที่ไตจะกลับมาทำงานเป็นปกติได้
การวินิจฉัยโรคไตวาย
ไตวายเป็นอาการที่มักไม่มีสัญญาณเตือนให้รู้ล่วงหน้า แต่จะเริ่มแสดงอาการก็ต่อเมื่อประสิทธิภาพในการทำงานของไตลดลง โดยอาการที่เข้าข่ายว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการไตวายมากสามารถสังเกตได้ว่า รู้สึกเหนื่อยง่าย ปัสสาวะน้อยลง มีอาการบวมที่ขาหรือเท้า ผิวหนังมีรอยช้ำง่ายกว่าปกติหรือมีเลือดไหลออกง่ายกว่าปกติ หากพบความผิดปกติที่อาจเป็นอาการของไตวาย แพทย์จะส่งตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เพื่อระบุให้แน่ชัดว่าเป็นโรคไตวายหรือไม่ หรือตรวจดูว่าผู้ป่วยมีอาการอยู่ในระยะใด โดยวิธีการตรวจมีดังนี้
- การตรวจปัสสาวะแพทย์จะตรวจปัสสาวะเพื่อดูปริมาณของปัสสาวะที่ร่างกายขับออกมา โปรตีนหรือเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวที่ปะปนออกมากับปัสสาวะ ซึ่งบอกได้เบื้องต้นว่าไตยังทำงานได้ดีหรือไม่
- การตรวจเลือดจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการกรองของไต หากมีภาวะไตวาย ปริมาณไนโตรเจน กรดยูเรีย (Blood Urea Nitrogen, BUN) และครีเอทินิน (Creatinine, Cr) ที่เป็นของเสียมาจากกล้ามเนื้อจะตกค้างในเลือดสูง
- การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และ การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan) ถ้ามีความผิดปกติของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ แพทย์สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนร่วมกับการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
โรคไตวายรักษาหายไหม?
ภาวะไตวายเฉียบพลันเป็นภาวะที่รักษาให้หายได้ หากสามารถแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ ซึ่งส่วนใหญ่หากรักษาได้ทันท่วงที การทำงานของไตก็จะกลับมาทำงานได้เหมือนปกติหรือใกล้เคียงปกติ
ส่วนภาวะไตวายเรื้อรังมักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยแนวทางการรักษาจะเป็นการชะลอความเสื่อมของไต และหากไตไม่สามารถทำงานขับของเสียได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฟอกไต เพื่อกำจัดของเสียที่คั่งอยู่ในร่างกาย โดยผู้ป่วยสามารถฟอกไตได้ 2 วิธีคือ การฟอกไตผ่านทางหน้าท้อง และการฟอกไตหรือฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
อย่างไรก็ตามการรักษาที่ดีที่สุดของภาวะไตวายโดยเฉพาะภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย คือการปลูกถ่ายไต ซึ่งหากมีการวางแผนการรักษาด้วยวิธีการปลูกถ่ายไต การฟอกไตจะเป็นการรักษาเพื่อรอการปลูกถ่ายไตในอนาคต
การรักษาภาวะไตวาย
- การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ( hemodialysis) เป็นการนำของเสียและน้ำออกจากเลือด โดยเลือดจะออกจากตัวผู้ป่วยแล้วผ่านตัวกรองเพื่อกำจัดของเสีย ปรับสมดุลเกลือแร่และกรดด่างเพื่อให้กลายเป็นเลือดดีก่อนที่เครื่องไตเทียมจะนำเลือดนั้นกลับสู่ร่างกาย ในการฟอกเลือดแต่ละครั้งต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ชม. และต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยผู้ป่วยต้องเข้ารับการตัดต่อเส้นเลือดเพื่อใช้ในการฟอกเลือดเสียก่อน
- การล้างไตทางผนังช่องท้อง (peritoneal dialysis) เป็นการใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องผ่านทางสายยางที่ฝังไว้ในช่องท้องผู้ป่วยเพื่อกรองของเสียในร่างกายออก วิธีนี้จำเป็นต้องทำทุกวัน ผู้ป่วยจึงมักทำที่บ้านและเรียนรู้วิธีการทำด้วยตัวเอง ซึ่งอาจมีข้อจำกัดที่ผู้ป่วยหลายรายไม่สะดวก และมีข้อควรระวังเรื่องความสะอาดที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อได้
- การผ่าตัดปลูกถ่ายไต (kidney transplantation) เป็นการผ่าตัดเอาไตของผู้อื่นมาใส่ไว้ในร่างกายผู้ป่วยเพื่อทดแทนไตเดิมที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว โดยไตใหม่นั้นอาจได้มาจากผู้บริจาคอวัยวะที่มีภาวะสมองตาย หรือผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตอยู่และมีไตเข้ากับผู้ป่วยได้ วิธีนี้มีข้อจำกัดเรื่องไตที่ต้องรอรับบริจาคผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายจำเป็นต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง เพราะหากไม่รักษาก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

อาหารที่ผู้ป่วยโรคไต ควรหลีกเลี่ยง (นอกจากอาหารรสจัดแล้ว ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง)
- ไข่แดง
- เนื้อสัตว์ติดมัน
- ถั่วต่างๆ รวมถึงธัญพืชจำพวก งาดำ งาขาว
- ผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น ชีส โยเกิร์ต ไอศรีมที่ทำจากนม
- ข้าวกล้อง
- บะหมี่ขนมปังโฮลวีต
- ขนมเบเกอรี่ต่างๆ
- ผักสีเข้ม เช่น คะน้า บล็อกโคลี่ แครอท ผักโขม กะเพรา โหระพา ขี้เหล็ก ชะอม ฟักทอง มะเขือเทศ
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชาเขียวใส่นม น้ำอัดลม โกโก้/ช็อคโกแลต
- ขนมไทยที่ทำจากไข่แดง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง
- สังขยา ขนมหม้อแกง คัสตาร์ด
อาหารที่ผู้ป่วยโรคไต ควรทาน (ถ้าให้จำง่ายๆ มองหาอาหารที่มีสีจืดๆ สีไม่เข้ม)
- ไข่ขาว
- ปลาเนื้อหมู ไก่ (ที่ไม่ติดมัน)
- น้ำเต้าหู้ที่ทำสดๆ น้ำนมข้าวที่ไม่ปรุงแต่ง
- ข้าวขาว
- เส้นหมี่ เส้นเล็ก วุ้นเส้น
- ผักสีอ่อน เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ฟัก มะเขือยาว มะเขือเปราะ มะระ ผักบุ้ง (การนำไปลวก หรือต้มก่อนทาน ก็จะช่วยลดฟอสฟอรัสในผักได้)
- น้ำขิง
- ชาไม่ใส่นม
- น้ำหวาน
- เมอแรงค์ (ทำจากไข่ขาว) ซาหริ่ม ขนมชั้น ลอดช่อง วุ้น
ถึงแม้อาหารเหล่านี้จะทานได้ แต่ก็ไม่ควรทานจนมากเกินไป ควรรักษาสมดุลของอาหารให้ดี และทานอาหารให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซากจำเจเหมือนเดิมในทุกๆ วัน ทุกๆ มื้อ เพื่อให้ได้สารอาหารที่หลากหลายครบถ้วน มากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ ใครที่ต้องทานยาจับฟอสฟอรัส ก็อย่าลืมทานพร้อมอาหารอย่างสม่ำเสมอด้วย ช่วยให้ฟอสฟอรัสไม่สูงได้เป็นอย่างดี ถ้าเราควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสในเลือดได้ อาการโรคไตของเราก็จะดีขึ้นตามลำดับ โรคไตสู้ได้ ไม่ต้องกลัว
สรุป
ภาวะไตวายสามารถป้องกันได้โดยการดูแลรักษาสุขภาพ และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพราะภาวะไตวายระยะแรก ๆ จะไม่พบอาการผิดปกติ ดังนั้นการตรวจสุขภาพจะช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากกว่าและหากมีภาวะไตวายแล้วการเข้ารับการตรวจและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปฏิบัติตัวและปรับพฤติกรรมเพื่อชะลอความเสื่อมของไต ก็จะช่วยให้รักษาการทำงานของไตไว้ได้ แต่หากไตวายอยู่ในระยะที่รุนแรงแรงแล้วผู้ป่วยก็จำเป็นต้องรักษาด้วยการฟอกไต หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น สามารถทำงาน และใช้ชีวิตประจำวันได้
โรคไตในแต่ละประเภทนั้น อาการของผู้ป่วยอาจจะมีลักษณะแตกต่างกัน ตามโรคไตในแต่ละประเภท โดยอาการโรคไตวายเรื้อรังค่อนข้างจะซ่อนเร้น ค่อยๆ กำเริบมากขึ้นโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือไม่มีอาการ บางครั้งแฝงมากับโรคอื่นอย่างลับๆ บางครั้งตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจปัสสาวะ หรือตรวจเลือด จึงทำให้ผู้ป่วยโรคไตจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคไต เมื่อมีอาการก็มักจะมาพบแพทย์ซึ่งสายเกินไปเสียแล้วเพราะไตของผู้ป่วยเสียมากจนเกินความสามารถที่แพทย์จะรักษาให้หายเป็นปกติได้
ดังนั้นเมื่อเรารู้ถึงลักษณะอาการของโรคไตตั้งแต่เนิ่นๆ หมั่นคอยสังเกตอาการ และพบแพทย์ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี จะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง
หากท่านกำลังกังวลเรื่องการดูแลผู้ป่วยพักฟื้น ผู้สูงอายุ การกายภาพบำบัด การจัดกิจกรรมบำบัด การชะลอความเสื่อม ให้ ไอแคร์ เวลเนส จำกัด สามารถช่วยท่านดูแล ได้ทั้ง ระยะสั้น และระยะยาวค่ะ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์)
สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP :
https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8
สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP :
https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9
*********************************
ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ
ไอแคร์ เวเนส จำกัด
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร :
066-112-9500
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care
โทร :
066-109-4500
Line :
@icare-nursing (มี@)
อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #อุบลราชธานี #ผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลสุขภาพ #ผู้ช่วยพยาบาล #อำนาจเจริญ #ยโสธร #ศรีสะเกษ #ดูแลผู้สูงอายุ #เนอร์สซิ่งโฮม #ประกันสุขภาพ #โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ #อุบลรักษ์ #โรงพยาบาลพริ้นซ์อุบลราชธานี #โรงพยาบาลราชเวช #ไอแคร์ #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกช่วงวัย #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ #ดูแลผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลคนชรา #ดูแลคนแก่ #ดูแลผู้ป่วยพักฟื้น #ห้องพักฟื้น #กิจกรรมบำบัด #ไตวาย