หากสมองเสียหาย ผู้สูงอายุเสี่ยงอะไรบ้าง
หากสมองของผู้สูงอายุได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุ โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคทางสมองอื่นๆ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการดำรงชีวิตได้อย่างมาก โดยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้
ความเสี่ยงทางด้านร่างกาย
- ความผิดปกติในการเคลื่อนไหว: อาจทำให้เดินเซ เดินไม่ตรง หรือแขนขาอ่อนแรง
- ปัญหาในการกลืน: ทำให้เสี่ยงต่อการสำลักอาหารและขาดสารอาหาร
- การเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้สึก: เช่น อาการชาหรือรู้สึกเจ็บปวดผิดปกติ
ความเสี่ยงทางด้านสติปัญญาและอารมณ์
- ความจำเสื่อม: ลืมเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น ลืมชื่อคน ลืมทาง
- สับสนงงงวย: ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เวลาเป็นอย่างไร
- การตัดสินใจผิดพลาด: เนื่องจากความคิดไม่ชัดเจน
- การเปลี่ยนแปลงอารมณ์: อาจหงุดหงิด โมโหง่าย หรือซึมเศร้า
- ภาวะซึมเศร้า: ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา
ความเสี่ยงอื่นๆ
- การสูญเสียความเป็นอิสระ: ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการทำกิจวัตรประจำวัน
- การเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ: เช่น ล้ม หลงทาง
- ผลกระทบต่อครอบครัว: ทั้งในด้านอารมณ์และภาระในการดูแล
โรคหลอดเลือดในสมองอันตรายอย่างไร?
โรคหลอดเลือดในสมอง หรือ โรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตัน เป็นโรคที่อันตรายและส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างมาก เพราะเมื่อหลอดเลือดในสมองเกิดการอุดตันหรือแตก จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เซลล์สมองจะขาดออกซิเจนและตายลง ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สมองควบคุม
อันตรายของโรคหลอดเลือดในสมองมีอะไรบ้าง?
- อัมพฤกษ์ อัมพาต: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวได้รับความเสียหาย ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต
- ความผิดปกติในการพูด: พูดไม่ชัด พูดลำบาก หรือไม่สามารถพูดได้เลย
- ปัญหาในการรับรู้: มองเห็นภาพซ้อน หูอื้อ หรือสูญเสียความรู้สึก
- ความจำเสื่อม: ลืมง่าย สับสน
- การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์: หงุดหงิด โมโหง่าย หรือซึมเศร้า
- เสียชีวิต: ในกรณีที่สมองได้รับความเสียหายรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง
- ความดันโลหิตสูง: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
- โรคเบาหวาน: ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวง่าย
- คอเลสเตอรอลสูง: ทำให้เกิดไขมันไปอุดตันในหลอดเลือด
- การสูบบุหรี่: ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบ
- โรคหัวใจ: โรคหัวใจบางชนิด เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเพิ่มความเสี่ยง
- อายุ: อายุที่มากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยง
- พันธุกรรม: มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง
- การใช้ยาบางชนิด: ยาคุมกำเนิดบางชนิด ยาเสพติด
การป้องกันโรคหลอดเลือดในสมอง
- ควบคุมความดันโลหิต: วัดความดันโลหิตเป็นประจำและทานยาตามที่แพทย์สั่ง
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- ควบคุมระดับไขมันในเลือด: ลดการบริโภคอาหารไขมันสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล
- เลิกบุหรี่: บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
- ทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: เพื่อค้นหาและรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
อาการสำคัญที่บ่งบอกว่าอาจเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง
- อ่อนแรง: แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง
- พูดลำบาก: พูดไม่ชัด พูดไม่รู้เรื่อง
- ใบหน้าเบี้ยว: มุมปากตก
- มองเห็นภาพซ้อน: หรือมองไม่เห็น
- เวียนหัว
- เดินเซ
- สูญเสียการทรงตัว
การรักษาโรคหลอดเลือดในสมอง
การรักษาโรคหลอดเลือดในสมองขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค อาจรวมถึงการให้ยาละลายลิ่มเลือด การผ่าตัด และการฟื้นฟูสมรรถภาพ การป้องกันและการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดในสมองเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อาการ เมื่อสมองเสียหายทางซีกซ้ายมีอะไรบ้าง
อาการเมื่อสมองเสียหายทางซีกซ้ายนั้นขึ้นอยู่กับบริเวณที่สมองได้รับความเสียหายและความรุนแรงของการบาดเจ็บ แต่โดยทั่วไปแล้ว อาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- อัมพาตครึ่งซีกด้านขวา: กล้ามเนื้อด้านขวาของร่างกายอ่อนแรง หรือเป็นอัมพาต
- ปัญหาในการสื่อสาร: พูดไม่ชัด พูดลำบาก เข้าใจยาก หรือไม่สามารถพูดได้เลย
- ปัญหาในการกลืน: กลืนลำบาก อาจสำลักอาหารได้
- สูญเสียการจัดการ: ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง ทำอะไรช้า
- สูญเสียการมองเห็นภาพซีกขวาของตาทั้งสองข้าง: มองไม่เห็นส่วนขวาของภาพ
- ปัญหาทางอารมณ์: อาจหงุดหงิด โมโหง่าย หรือซึมเศร้า
สาเหตุที่ทำให้สมองซีกซ้ายเสียหาย
- โรคหลอดเลือดสมอง: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน
- อุบัติเหตุ: เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การตกกระแทกที่ศีรษะ
- เนื้องอกในสมอง: ก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นในสมองไปกดทับเนื้อเยื่อสมอง
- การติดเชื้อในสมอง: เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การรักษา
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของการบาดเจ็บ อาจรวมถึง
- การรักษาสาเหตุ: เช่น การละลายลิ่มเลือดในกรณีที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง
- การฟื้นฟูสมรรถภาพ: เช่น การทำกายภาพบำบัด การบำบัดด้วยการพูด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากที่สุด
การป้องกัน
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง: เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ทานอาหารที่มีประโยชน์
- เลิกบุหรี่
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
อาการเมื่อสมองเสียหายทางซีกขวามีอะไรบ้าง
เมื่อสมองส่วนขวาได้รับความเสียหาย จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายและความคิดที่แตกต่างจากการบาดเจ็บที่สมองซีกซ้าย โดยทั่วไป อาการที่พบบ่อยเมื่อสมองซีกขวาได้รับความเสียหาย ได้แก่:
- อัมพาตครึ่งซีกด้านซ้าย: กล้ามเนื้อด้านซ้ายของร่างกายจะอ่อนแรง หรือเป็นอัมพาต
- ปัญหาในการรับรู้เชิงพื้นที่: มีปัญหาในการประเมินระยะทาง ขนาด หรือตำแหน่งของวัตถุ อาจทำให้เดินชนสิ่งของ หรือมีปัญหาในการขับรถ
- ปัญหาในการเข้าใจภาพรวม: อาจมีปัญหาในการเข้าใจบริบทของสถานการณ์ หรือการตีความข้อมูลเชิงภาพ
- ปัญหาในการควบคุมอารมณ์: อาจมีอารมณ์ที่ผันผวน หงุดหงิดง่าย หรือขาดความยับยั้งชั่งใจ
- ปฏิเสธปัญหา: ผู้ป่วยอาจไม่ยอมรับว่าตนเองมีปัญหา หรือปฏิเสธที่จะรับความช่วยเหลือ
- ปัญหาในการใส่ใจรายละเอียด: อาจพลาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างราบรื่น
- ปัญหาในการมองเห็นภาพซีกซ้ายของตาทั้งสองข้าง: อาจมองไม่เห็นสิ่งของที่อยู่ทางซ้ายของสายตา
สาเหตุที่ทำให้สมองซีกขวาเสียหาย
- โรคหลอดเลือดสมอง: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน
- อุบัติเหตุ: เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การตกกระแทกที่ศีรษะ
- เนื้องอกในสมอง: ก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นในสมองไปกดทับเนื้อเยื่อสมอง
- การติดเชื้อในสมอง: เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การรักษา
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของการบาดเจ็บ อาจรวมถึง
- การรักษาสาเหตุ: เช่น การละลายลิ่มเลือดในกรณีที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง
- การฟื้นฟูสมรรถภาพ: เช่น การทำกายภาพบำบัด การบำบัดด้วยการพูด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากที่สุด
การป้องกัน
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง: เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ทานอาหารที่มีประโยชน์
- เลิกบุหรี่
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
BEFAST: สังเกตอาการ รู้ก่อน ถึงมือแพทย์ก่อน โอกาสรอดชีวิตสูงกว่า
- B – BALANCE: สูญเสียการทรงตัว
- E – EYE: มองเห็นภาพซ้อน ภาพเบลอ หรือสูญเสียการมองเห็น
- F – FACE: ใบหน้าอ่อนแรง มีอาการชา หรือปากเบี้ยว
- A – ARM: แขนขาอ่อนแรง หรือมีอาการชาครึ่งซีก
- S – SPEECH: พูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดไม่ได้ หรือพูดไม่เข้าใจ
- T – TIME: หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
เมื่อถึงโรงพยาบาล ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันจะได้รับความช่วยเหลืออย่างไร?
เมื่อผู้ป่วยที่มีอาการของโรคหลอดเลือดสมองอุดตันถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์จะเร่งให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพื่อลดความเสียหายของเซลล์สมองให้ได้มากที่สุด การรักษาจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาที่เกิดอาการ สถานที่ที่หลอดเลือดอุดตัน และสภาพร่างกายโดยรวมของผู้ป่วย
ขั้นตอนการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันเมื่อมาถึงโรงพยาบาล:
- ประเมินอาการเบื้องต้น: แพทย์จะทำการประเมินอาการของผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว เช่น ตรวจสอบความแข็งแรงของแขนขา ใบหน้า และการพูด เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค
- ตรวจวินิจฉัย:
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG): เพื่อตรวจสอบการทำงานของสมอง
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan): เพื่อดูความเสียหายของสมองและตรวจหาเลือดออกในสมอง
- การตรวจ MRI: เพื่อดูรายละเอียดของหลอดเลือดสมองและเนื้อเยื่อสมองอย่างละเอียด
- การรักษา:
- ยาละลายลิ่มเลือด: หากผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลภายในเวลาที่กำหนด (โดยทั่วไปไม่เกิน 4.5 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ) แพทย์อาจให้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อช่วยให้หลอดเลือดที่อุดตันเปิดออก
- การสลายลิ่มเลือดด้วยวิธีกล: ในบางกรณี แพทย์อาจใช้เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อสลายลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดโดยตรง
- การรักษาตามอาการ: แพทย์จะให้การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น การควบคุมความดันโลหิต การป้องกันการชัก และการดูแลป้องกันการติดเชื้อ
- การฟื้นฟูสมรรถภาพ: หลังจากที่อาการเฉียบพลันดีขึ้น ผู้ป่วยจะได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น การทำกายภาพบำบัด การบำบัดด้วยการพูด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติมากที่สุด
สิ่งสำคัญที่ควรทราบ:
- เวลาเป็นสิ่งสำคัญ: การนำส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดหลังจากมีอาการ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวและลดความเสียหายของสมอง
- การรักษาที่รวดเร็วและถูกต้อง: การได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- การดูแลหลังการรักษา: การดูแลผู้ป่วยหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวและปรับตัวเข้ากับชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยง: เช่น ควบคุมความดันโลหิต คลอเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือด
- เลิกบุหรี่: บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว
- ทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืช
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: เพื่อตรวจหาและรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
หากมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น อ่อนแรงครึ่งตัว พูดลำบาก มองเห็นภาพซ้อน หรือเวียนหัว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการฟื้นฟูร่างกายด้านไหนบ้าง?
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะต้องเข้ารับการฟื้นฟูร่างกายหลายด้าน เพื่อช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด การฟื้นฟูที่สำคัญ ได้แก่
- กายภาพบำบัด: ช่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การเดิน การยืน การใช้แขนขา การทรงตัว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างอิสระมากขึ้น
- การบำบัดด้วยการพูด: ช่วยฟื้นฟูการพูด การฟัง และการเข้าใจภาษา ซึ่งสำคัญสำหรับการสื่อสาร
- การบำบัดด้วยอาชีวบำบัด: ช่วยฝึกทักษะในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การแต่งตัว การกินอาหาร การอาบน้ำ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้
- การบำบัดทางจิตวิทยา: ช่วยจัดการกับอารมณ์ ความเครียด และปัญหาทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้นจากโรค เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟื้นฟู:
- ความรุนแรงของโรค: ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว
- บริเวณที่สมองได้รับความเสียหาย: บริเวณที่สมองได้รับความเสียหายจะส่งผลต่อการทำงานของร่างกายที่เสียไป
- อายุและสุขภาพโดยรวม: ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ อาจฟื้นตัวช้ากว่าคนหนุ่มสาว
- ความร่วมมือของผู้ป่วย: การมีส่วนร่วมในการทำกายภาพบำบัดและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระยะเวลาในการฟื้นฟู:
ระยะเวลาในการฟื้นฟูจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น โดยทั่วไป การฟื้นฟูอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น
สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยและครอบครัวควรทราบ:
- ความอดทนและความพยายาม: การฟื้นฟูต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากผู้ป่วยและครอบครัว
- การสนับสนุนจากครอบครัวและคนรอบข้าง: การมีกำลังใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
- การติดตามการรักษา: ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจสุขภาพและทำกายภาพบำบัดตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ
- การปรับตัว: ผู้ป่วยและครอบครัวอาจต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมเพื่อให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วย
การฟื้นฟูแบบฉบับการกายภาพบำบัดในผู้ป่วยที่มีอาการสมองเสียหาย
การกายภาพบำบัดเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยที่ประสบปัญหาจากการบาดเจ็บที่สมองสามารถฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหว การควบคุมร่างกาย และการทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้น เป้าหมายหลักของการกายภาพบำบัดคือการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ขั้นตอนการฟื้นฟูโดยทั่วไป
การฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัดจะถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยพิจารณาจากสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งอาจรวมถึง:
- การประเมิน: นักกายภาพบำบัดจะประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความรู้สึก และความสมดุลของผู้ป่วย เพื่อกำหนดจุดแข็ง จุดอ่อน และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- การกำหนดเป้าหมาย: นักกายภาพบำบัดจะร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัวในการกำหนดเป้าหมายในการฟื้นฟู เช่น การเดินได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ช่วย การใช้แขนในการทำกิจวัตรประจำวัน หรือการควบคุมการขับถ่าย
- การออกแบบโปรแกรมการรักษา: โปรแกรมการรักษาจะถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ อาจรวมถึงการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การฝึกการเคลื่อนไหว การฝึกการทรงตัว และการฝึกกิจวัตรประจำวัน
- การติดตามผลและปรับเปลี่ยนโปรแกรม: นักกายภาพบำบัดจะติดตามความคืบหน้าของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนโปรแกรมการรักษาให้เหมาะสมตามความต้องการของผู้ป่วย
เทคนิคการกายภาพบำบัดที่ใช้บ่อย
- การเคลื่อนไหวแบบพาสซีฟ: นักกายภาพบำบัดจะช่วยผู้ป่วยเคลื่อนไหวข้อต่อและกล้ามเนื้อ เพื่อรักษาความยืดหยุ่นและป้องกันการแข็งตึงของกล้ามเนื้อ
- การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง: การออกกำลังกายที่เน้นกล้ามเนื้อส่วนที่อ่อนแรง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน
- การฝึกการเคลื่อนไหว: การฝึกการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน เช่น การเดิน การยืน หรือการใช้มือ เพื่อพัฒนาความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน
- การฝึกการทรงตัว: การฝึกการทรงตัวบนพื้นผิวที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความมั่นคงและลดความเสี่ยงต่อการล้ม
- การใช้เครื่องมือช่วย: การใช้เครื่องมือช่วย เช่น ไม้เท้า วอล์คเกอร์ หรือรถเข็น เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวและเพิ่มความมั่นใจ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟื้นฟู
- ความรุนแรงของการบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่รุนแรงอาจส่งผลต่อระยะเวลาในการฟื้นฟู
- อายุและสุขภาพโดยรวม: ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ อาจฟื้นตัวช้ากว่า
- ความร่วมมือของผู้ป่วย: การมีส่วนร่วมในการทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำกายภาพบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่อง
การฟื้นฟูหลังจากการบาดเจ็บที่สมองเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ด้วยการดูแลที่เหมาะสมและการสนับสนุนจากครอบครัวและทีมแพทย์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง
ศูนย์ฟื้นฟูของเรามุ่งเน้นการฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยควบคู่กับการดูแลทางด้านจิตใจ โดยใช้กระบวนการฟื้นฟูโดยเจ้าหน้าที่นักกายภาพบำบัดที่ควบคุมโดยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งปรับตามอาการของรับบริการออกแบบเฉพาะราย ที่เน้นส่งเสริมให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าของการมีชีวิต และเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองเป็นหลัก โดยมีผู้ดูแล (Caregiver) คอยสังเกตอย่างใกล้ชิด และให้ความช่วยเหลือเฉพาะในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำเองได้เท่านั้น
โปรแกรมการฟื้นฟูที่ศูนย์ ไอแคร์ เวลเนส จึงถูกออกแบบให้เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละราย ด้วยการออกแบบรายบุคคลอย่างเป็นองค์รวม ภายใต้การดูแลของทีมบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล นักบำบัด นักโภชนาการ เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งครอบครัวและผู้ดูแลผู้ป่วย เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
หากท่านสนใจรับบริการฟื้นฟูร่างกายควบคู่กับการดูแลทางด้านจิตใจ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8
สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9
*********************************
ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ
ไอแคร์ เวเนส จำกัด
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร : 066-112-9500
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care
โทร : 066-109-4500
Line : @icare-nursing (มี@)
อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care