5 สัญญาณเตือนโรคเส้นเลือดสมองแตก รู้ทันสโตรกก่อนสาย

โรคเส้นเลือดสมอง

5 สัญญาณเตือนโรคเส้นเลือดสมองแตก รู้ทันสโตรกก่อนสาย

โรคเส้นเลือดสมองตีบ ตัน VS โรคเส้นเลือดสมองแตก: ความเหมือนในความต่าง

โรคหลอดเลือดสมองตีบตันและโรคหลอดเลือดสมองแตกเป็นสองภาวะที่แตกต่างกัน แต่มีความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน ทั้งสองเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรก (stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่สมองได้รับความเสียหายจากการขาดเลือด

ความเหมือน

  • อาการแสดง: ทั้งสองภาวะนี้มีอาการแสดงที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจรวมถึงอาการต่อไปนี้

หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว: มุมปากตกหรือหน้าเบี้ยวไปด้านใดด้านหนึ่ง

แขนขาอ่อนแรง: รู้สึกอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีกของร่างกาย

พูดไม่ชัด: ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด หรือสื่อสารลำบาก

ปวดศีรษะรุนแรง: ปวดศีรษะอย่างเฉียบพลันและรุนแรง

เวียนศีรษะ: รู้สึกเวียนศีรษะอย่างรุนแรง อาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย

มองเห็นผิดปกติ: มองเห็นภาพซ้อน หรือภาพมัว

สับสน: มีอาการสับสนหรือพูดจาไม่รู้เรื่อง

  • ปัจจัยเสี่ยง: ทั้งสองภาวะนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจรวมถึง

ความดันโลหิตสูง: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของทั้งสองภาวะ

เบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงขึ้น

ไขมันในเลือดสูง: ระดับไขมันที่ไม่ดีในเลือดอาจทำให้เกิดการอุดตัน

การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยง

โรคหัวใจ: ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมีความเสี่ยงสูงขึ้น

อายุ: ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงขึ้น

พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

ความเครียด: ความเครียดอาจเป็นปัจจัยกระตุ้น

  • การรักษา: การรักษาทั้งสองภาวะนี้มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการฟื้นฟูสมรรถภาพและการป้องกันการเกิดซ้ำ

การให้ยา: ในระยะเฉียบพลัน การให้ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA) สามารถใช้ได้ในกรณีหลอดเลือดสมองตีบตัน

การผ่าตัด: ในบางกรณีอาจต้องใช้การผ่าตัดเพื่อนำลิ่มเลือดออก หรือซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหาย

กายภาพบำบัด: การฟื้นฟูสมรรถภาพด้วยกายภาพบำบัดและการทำกิจกรรมบำบัดเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟู

การควบคุมปัจจัยเสี่ยง: การควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง เป็นสิ่งจำเป็น

ความต่าง

  • สาเหตุ

หลอดเลือดสมองตีบตัน: เกิดจากหลอดเลือดในสมองตีบแคบลง หรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ มักเกิดจากคราบไขมัน หรือลิ่มเลือด

หลอดเลือดสมองแตก: เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ทำให้มีเลือดออกในเนื้อสมอง มักเกิดจากความดันโลหิตสูง หรือหลอดเลือดผิดปกติ

  • ความรุนแรง: โดยทั่วไป หลอดเลือดสมองแตกมักจะมีความรุนแรงกว่าหลอดเลือดสมองตีบตัน และมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า

การรักษาในระยะเฉียบพลัน

หลอดเลือดสมองตีบตัน: สามารถใช้ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA) ได้ภายใน 4.5 ชั่วโมงแรก หรืออาจใช้การใส่สายสวนเพื่อนำลิ่มเลือดออกได้ภายใน 24 ชั่วโมง

หลอดเลือดสมองแตก: การรักษาหลักคือการควบคุมความดันโลหิตและลดภาวะแทรกซ้อน

ข้อควรระวัง

  • อาการของโรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
  • เวลาเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตได้

โดยสรุป ทั้งโรคหลอดเลือดสมองตีบตันและโรคหลอดเลือดสมองแตกมีความคล้ายคลึงกันในด้านอาการแสดงและปัจจัยเสี่ยง แต่มีความแตกต่างกันในด้านสาเหตุและความรุนแรง การทำความเข้าใจความเหมือนและความต่างนี้จะช่วยให้ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและการรักษาอย่างทันท่วงที

 

โรคเส้นเลือดสมอง

6 อาการที่เห็นได้ชัด ทั้งเส้นเลือดสมองแตกและเส้นเลือดสมองตีบ

มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันทันที สังเกตและจดจำกลุ่มอาการ “BE FAST” ไว้ หากพบเจอให้รีบนำส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

  • B – BALANCE: สูญเสียการทรงตัว
  • E – EYE: มองเห็นภาพซ้อน ภาพเบลอ หรือสูญเสียการมองเห็น
  • F – FACE: ใบหน้าอ่อนแรง มีอาการชา หรือปากเบี้ยว
  • A – ARM: แขนขาอ่อนแรง หรือมีอาการชาครึ่งซีก
  • S – SPEECH: พูดไม่ชัด พูดลำบาก พูดไม่ได้ หรือพูดไม่เข้าใจ
  • T – TIME: หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

การป้องกัน

  • ควบคุมความดันโลหิต ค่าน้ำตาล และไขมัน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • เลิกสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดการปรุงรสจัด
  • หากมีโรคประจำตัว ควรทานยาและพบแพทย์ตามคำแนะนำ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและทราบสถานะสุขภาพ

อาการหน้าเบี้ยวเกี่ยวข้องกับโรคอะไรบ้าง

อาการหน้าเบี้ยวสามารถเกี่ยวข้องกับหลายโรค โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทและหลอดเลือดสมอง ซึ่งอาการนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

  • เส้นเลือดในสมองตีบหรือตัน: เมื่อหลอดเลือดในสมองตีบแคบลงหรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนแรงหรือชาที่ใบหน้า ทำให้มุมปากตกหรือหน้าเบี้ยว
  • เส้นเลือดในสมองแตก: เมื่อหลอดเลือดในสมองแตก ทำให้มีเลือดออกในเนื้อสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหน้าเบี้ยวร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด และปวดศีรษะอย่างรุนแรง

อาการแสดง

○มุมปากตก

○หน้าเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง

○อาจมีน้ำลายไหลออกจากมุมปาก

○อาจมีอาการพูดไม่ชัดร่วมด้วย

○อาจมีอาการอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีกของร่างกายร่วมด้วย

โรคเบลล์พัลซี (Bell’s Palsy)

  • เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า

อาการแสดง

○หน้าเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง

○หลับตาไม่สนิท

○ยักคิ้วข้างที่เบี้ยวไม่ได้

○อาจมีอาการพูดไม่ชัดร่วมด้วย

○อาจมีอาการน้ำตาไหล หรือน้ำลายไหล

ความแตกต่างระหว่างโรคหลอดเลือดสมองและเบลล์พัลซี

  • ความเร็วในการเกิดอาการ: อาการของโรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ในขณะที่อาการของเบลล์พัลซีอาจค่อยๆ เป็นมากขึ้น
  • อาการอื่นๆ: โรคหลอดเลือดสมองมักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด และปวดศีรษะ ในขณะที่เบลล์พัลซีมักมีอาการจำกัดเฉพาะใบหน้า
  • การควบคุมกล้ามเนื้อ: ผู้ป่วยโรคเบลล์พัลซีมักมีปัญหาในการควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น หลับตาไม่สนิท และยักคิ้วไม่ได้ ในขณะที่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอาจมีอาการอ่อนแรงหรือชาที่ใบหน้า

ข้อควรสังเกต

  • หากมีอาการหน้าเบี้ยวเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
  • การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิต
  • การสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนแรง ชา พูดไม่ชัด และปวดศีรษะ จะช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำยิ่งขึ้น
  • หากไม่แน่ใจว่าอาการหน้าเบี้ยวเกิดจากสาเหตุใด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและอาการที่เกี่ยวข้องกับหน้าเบี้ยว จะช่วยให้คุณสามารถสังเกตอาการได้อย่างทันท่วงที และรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองมีอะไรบ้าง

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ ปัจจัยที่ ไม่สามารถแก้ไขได้ และปัจจัยที่ สามารถปรับเปลี่ยนได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถแก้ไขได้

  • พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
  • อายุ: ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นน้อยลง
  • เพศ: ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้

  • ความดันโลหิตสูง: ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองถึง 10 เท่า
  • เบาหวาน: การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่ดี ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น
  • ไขมันในเลือดสูง: ภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล (LDL) ที่ไม่ดี จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดตีบและอุดตัน
  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเพิ่มโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • ภาวะอ้วน: ผู้ที่มีภาวะอ้วนมีความเสี่ยงสูงขึ้นเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อปัจจัยอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน
  • การไม่ออกกำลังกาย: การขาดการออกกำลังกายจะส่งผลให้หลอดเลือดไม่ยืดหยุ่นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
  • โรคหัวใจ: ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือมีลิ่มเลือดในหัวใจ จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดหลอดเลือดสมองอุดตัน
  • ภาวะเครียด: ความเครียดสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองได้
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ: การพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • การควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
  • การตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจหาความเสี่ยงและควบคุมโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง เป็นสิ่งสำคัญ
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
  • หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิต

การทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพและลดโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคหลอดเลือดสมองตีบและแตกมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันอย่างไร

โรคหลอดเลือดสมองตีบและแตกมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองได้เร็วที่สุดเพื่อลดความเสียหายและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น การรักษาจะแตกต่างกันไปตามชนิดของโรคและระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการ

การรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke)

  • การให้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytic Therapy): เป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ โดยมีเป้าหมายคือการสลายลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือดในสมอง ทำให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองได้ ยาละลายลิ่มเลือดควรให้ภายใน 4.5 ชั่วโมงแรกหลังจากเริ่มมีอาการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • การใส่สายสวนเพื่อนำลิ่มเลือดออก (Mechanical Thrombectomy): ในกรณีที่ผู้ป่วยมีหลอดเลือดแดงใหญ่ในสมองอุดตัน หรือยาละลายลิ่มเลือดใช้ไม่ได้ผล อาจใช้วิธีใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อนำลิ่มเลือดออกมา วิธีนี้สามารถทำได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ
  • การรักษาแบบประคับประคอง: นอกเหนือจากการรักษาเพื่อเปิดหลอดเลือดแล้ว ผู้ป่วยยังต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อื่น ๆ เพื่อประคับประคองอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การควบคุมความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดซ้ำ

การรักษาโรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)

  • การควบคุมความดันโลหิต: ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดสมองแตก มักมีความดันโลหิตสูง การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดการไหลของเลือดในสมอง
  • การผ่าตัด: ในบางกรณีที่เลือดออกในสมองมีปริมาณมากและกดเบียดเนื้อสมอง การผ่าตัดอาจจำเป็นเพื่อระบายเลือดและลดแรงกดดันในสมอง
  • การรักษาแบบประคับประคอง: เช่นเดียวกับโรคหลอดเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกก็ต้องการการดูแลทางการแพทย์อื่น ๆ เช่น การควบคุมความดันโลหิต การจัดการอาการปวดศีรษะ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

การฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabilitation)

  • หลังจากได้รับการรักษาในระยะเฉียบพลันแล้ว ผู้ป่วยทั้งโรคหลอดเลือดสมองตีบและแตกจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
  • การฟื้นฟูสมรรถภาพอาจรวมถึงการทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด การฝึกพูด และการฝึกการกลืน

ความสำคัญของการรักษาอย่างรวดเร็ว

  • การรักษาโรคหลอดเลือดสมองทั้งสองชนิดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดความเสียหายของสมองและภาวะทุพพลภาพ
  • การไปถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาที่กำหนด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใน 4.5 ชั่วโมงสำหรับโรคหลอดเลือดสมองตีบ) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้รับการรักษาที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง

โดยสรุป การรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมุ่งเน้นไปที่การเปิดหลอดเลือดที่อุดตัน ส่วนโรคหลอดเลือดสมองแตกมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการไหลของเลือดและการลดแรงดันในสมอง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองชนิดของโรคต้องอาศัยการรักษาที่รวดเร็วและการฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

ในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มีทั้งระยะเฉียบพลันและระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเสียหายของสมอง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และฟื้นฟูผู้ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

ระยะเฉียบพลัน

  • การวินิจฉัยและการรักษาอย่างรวดเร็ว: สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใน 4.5 ชั่วโมงแรกหลังจากเริ่มมีอาการ สำหรับโรคหลอดเลือดสมองตีบ การมาถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วจะเพิ่มโอกาสในการได้รับการรักษาที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
  • การให้ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA): เป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสลายลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดสมอง ช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองได้อีกครั้ง ยาละลายลิ่มเลือดควรให้ภายใน 4.5 ชั่วโมงแรกหลังจากเริ่มมีอาการ
  • การใส่สายสวนเพื่อนำลิ่มเลือดออก (Mechanical Thrombectomy): ในกรณีที่ผู้ป่วยมีหลอดเลือดแดงใหญ่ในสมองอุดตัน หรือยาละลายลิ่มเลือดไม่ได้ผล อาจใช้วิธีการใส่สายสวนเพื่อนำลิ่มเลือดออกมา วิธีนี้สามารถทำได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ
  • การดูแลประคับประคอง: นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อื่นๆ เพื่อประคับประคองอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การควบคุมความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดซ้ำ
  • การสังเกตอาการในโรงพยาบาล: ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาในระยะเฉียบพลัน ควรได้รับการดูแลในโรงพยาบาลอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อสังเกตอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดลิ่มเลือดซ้ำในช่วง 3 วันแรก

ระยะยาว

  • การป้องกันการเกิดโรคซ้ำ: การดูแลระยะยาวมีเป้าหมายหลักคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น

○การควบคุมความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้นการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

การควบคุมระดับไขมันในเลือด: ควรควบคุมระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

การงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: การงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้

การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้

การรับประทานยา: การรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดซ้ำ

  • การฟื้นฟู: การฟื้นฟูสมรรถภาพเป็นสิ่งสำคัญในระยะยาว เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด โดยการทำกายภาพบำบัด การทำกิจกรรมบำบัด และการฝึกพูด เพื่อให้สมองส่วนที่ยังทำงานได้มาทำหน้าที่แทนส่วนที่เสียหายไป

สัญญาณเตือนที่สำคัญ

  • หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว: มุมปากตก หรือหน้าเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง
  • แขนขาอ่อนแรง: แขนขาอ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก
  • พูดไม่ชัด: พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง หรือไม่สามารถพูดได้
  • เห็นภาพผิดปกติ: มองเห็นภาพซ้อน ภาพมัว หรือมองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง
  • ปวดศีรษะรุนแรง: ปวดศีรษะอย่างรุนแรงเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการอาเจียนร่วมด้วย
  • เวียนศีรษะ: เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หรือมีอาการบ้านหมุน โดยไม่สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว
  • ซึมลง: มีอาการซึมลง หรือหมดสติ

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • หากมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที หรือโทร 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉิน
  • การดูแลสุขภาพโดยทั่วไป เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการควบคุมน้ำหนัก เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมโรคเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

โดยสรุป การดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต้องอาศัยความรวดเร็วในการรักษาในระยะเฉียบพลัน และการดูแลอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำและฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยให้ดีที่สุด

สรุป อาการ การป้องกัน และการรักษา 5 สัญญาณเตือนโรคเส้นเลือดสมองแตก รู้ทันสโตรกก่อนสาย

อาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง

อาการของโรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณของสมองที่ได้รับผลกระทบ อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • อ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก: แขนขาอ่อนแรงหรือชาบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกายอย่างเฉียบพลัน อาจเป็นซีกซ้ายหรือซีกขวา
  • หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว: มุมปากตก หรือหน้าเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง
  • พูดไม่ชัด: พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง พูดลำบาก หรือไม่สามารถพูดได้
  • มองเห็นภาพผิดปกติ: มองเห็นภาพซ้อน ภาพมัว หรือมองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง
  • ปวดศีรษะเฉียบพลันและรุนแรง: ปวดศีรษะอย่างรุนแรงที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย
  • เวียนศีรษะ: เวียนศีรษะ บ้านหมุนอย่างรุนแรง โดยไม่สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว
  • การทรงตัวผิดปกติ: มีปัญหาในการเดิน ทรงตัวลำบาก
  • สับสน: มีอาการสับสน มึนงง หรือการสื่อสารผิดปกติ
  • หมดสติ: อาจมีอาการวูบ หมดสติ

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

โรคหลอดเลือดสมองเกิดจาก 2 สาเหตุหลักคือ หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และหลอดเลือดสมองแตก

  • หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke): เกิดจากหลอดเลือดในสมองตีบแคบลง หรือมีลิ่มเลือดไปอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากไขมันสะสมในผนังหลอดเลือด หรือลิ่มเลือดจากหัวใจ
  • หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke): เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก มีเลือดไหลซึมเข้าไปในเนื้อสมอง ทำให้สมองได้รับความเสียหาย มักเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูงหรือหลอดเลือดในสมองผิดปกติ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง

  • ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

○อายุ: ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้น

○พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

○เพศ: เพศชายมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิง

  • ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้

ความดันโลหิตสูง: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมาก

○เบาหวาน: ผู้ที่เป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงขึ้น

○ไขมันในเลือดสูง: ระดับไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล

○การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

○การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

○โรคหัวใจ: โดยเฉพาะภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

○ภาวะอ้วน: น้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยง

○การไม่ออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ

○ความเครียด: ความเครียดอาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรค

การป้องกัน การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

  • ควบคุมโรคประจำตัว: หากมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ต้องควบคุมโรคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • เลิกสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: การเลิกสูบบุหรี่และการลดการดื่มแอลกอฮอล์ช่วยลดความเสี่ยงได้
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาลสูง
  • ควบคุมน้ำหนัก: รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • จัดการความเครียด: ลดความเครียดและหาทางผ่อนคลาย
  • ตรวจสุขภาพประจำปี: ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจหาความผิดปกติและปัจจัยเสี่ยง

การรักษา

การรักษาโรคหลอดเลือดสมองแบ่งเป็น 2 ระยะ

  • ระยะเฉียบพลัน: เป้าหมายคือการรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสียหายของสมอง

ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA): ใช้ในกรณีหลอดเลือดสมองตีบ โดยให้ภายใน 4.5 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการ

การใส่สายสวนเพื่อนำลิ่มเลือดออก (Mechanical Thrombectomy): ใช้ในกรณีหลอดเลือดอุดตันขนาดใหญ่ สามารถทำได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ

การรักษาประคับประคอง: ดูแลอาการอื่นๆ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน

  • ระยะยาว: เป้าหมายคือการป้องกันการเกิดโรคซ้ำและฟื้นฟูสมรรถภาพ

การรักษาด้วยยา: รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อควบคุมโรคประจำตัวและป้องกันการเกิดลิ่มเลือดซ้ำ

การฟื้นฟู: ทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด และฝึกพูด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

ข้อควรจำ

  • หากมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที หรือโทร 1669
  • เวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ยิ่งได้รับการรักษาเร็ว โอกาสในการฟื้นตัวก็จะยิ่งมากขึ้น
  • การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองทำได้โดยการดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง การป้องกัน และการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง จะช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพตนเองและคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้

 

หากท่านกำลังกังวลเรื่องการดูแลผู้ป่วยพักฟื้น ผู้สูงอายุ การกายภาพบำบัด การจัดกิจกรรมบำบัด การชะลอความเสื่อม ให้ ไอแคร์ เวลเนส จำกัด
สามารถช่วยท่านดูแล ได้ทั้งระยะสั้น และระยะยาวค่ะ (รายวัน รายเดือน รายสัปดาห์)

สาขาในเมืองอุบล : 25/1 ถนน บูรพานอก ตำบล ปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/N1QevUBZrx3Jcsae8
สาขาห้วยวังนอง : 318/118 บ้านค้อเหนือ หมู่12, ตำบล กุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34000
MAP : https://maps.app.goo.gl/3mfAELzrGKt24G3D9

*********************************
ติดต่อสอบถามเพื่อขอรับบริการ
ไอแคร์ เวเนส จำกัด
ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์
โทร : 066-112-9500
ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care
โทร : 066-109-4500
Line : @icare-nursing (มี@)
อินบล็อกสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*********************************
#ไอแคร์ เวลเนส เซ็นเตอร์ #ไอแคร์ เนอร์สซิ่งโฮมอุบลฯ – i Care  #ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ #อุบลราชธานี #ผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลสุขภาพ #ผู้ช่วยพยาบาล #อำนาจเจริญ #ยโสธร #ศรีสะเกษ #ดูแลผู้สูงอายุ #เนอร์สซิ่งโฮม #ประกันสุขภาพ #โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ #อุบลรักษ์ #โรงพยาบาลพริ้นซ์อุบลราชธานี #โรงพยาบาลราชเวช #ไอแคร์ #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกช่วงวัย #ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุ #ดูแลผู้สูงอายุ #กายภาพ #ดูแลคนชรา #ดูแลคนแก่ #ดูแลผู้ป่วยพักฟื้น #ห้องพักฟื้น #กิจกรรมบำบัด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่